การส่งออกและนำเข้าของจีนที่หดตัวลงในเดือนพฤศจิกายน 2551 สะท้อนถึงผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนที่รุนแรงมากขึ้นซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจภายในของจีนที่อ่อนแรงลงทั้งการบริโภคและการลงทุน ส่งสัญญาณความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับที่หลายประเทศในเอเชียต่างต้องเผชิญกับการส่งออกที่หดตัวเช่นกัน รวมถึงไต้หวัน เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวเหลือร้อยละ 8 นับว่าเป็นการชะลอตัวติดต่อกัน 6 ไตรมาส จากที่ขยายตัวร้อยละ 9 ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนทั้งปี 2551 มีแนวโน้มเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวที่ร้อยละ 9.4 ซึ่งถือเป็นการเติบโตอ่อนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี เทียบกับที่ขยายตัวถึงร้อยละ 11.9 ในปี 2550
ทางการจีนใช้นโยบายการคลังอัดฉีดเงินมูลค่า 586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลา 2ปีจนถึงปี 2553 และนโยบายการเงินโดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแรงในเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าทางการจีนจะออกมาตรการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจในประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและบรรเทาปัญหาการว่างงานโดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกที่กำลังประสบปัญหาจนต้องปิดตัวลงและอาจทำให้ปัญหาการว่างงานรุนแรงมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องประสบภาวะชะลอตัวส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนตุลาคม 2551 ผลของมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นและมาตรการด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพของทางการจีน คาดว่าจะช่วยบรรเทาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ให้รุนแรงมากนัก โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2552 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงอยู่ระหว่างร้อยละ 7.5-8.5
เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรงลงส่งผลให้การส่งออกของประเทศต่างๆ ไปจีนต้องประสบปัญหาการชะลอตัวตามไปด้วย รวมถึงไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับการส่งออกไปจีนที่หดตัวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงการส่งออกของไทยไปจีนที่ประสบปัญหาการชะลอตัวติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 เป็นต้นมา โดยการส่งออกรายเดือนของไทยไปจีนเติบโตชะลอเหลือตัวเลขหลักเดียวที่ร้อยละ 1.4 ร้อยละ 6.1 และร้อยละ 4.5 ในเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2551 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2550 และคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2552 อาจเติบโตชะลอลงต่อเนื่อง โดยมีอัตราขยายตัวร้อยละ 1.0-6.0 โดยสินค้าส่งออกของไทยไปจีนที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คาดว่าจะเป็นสินค้าวัตถุดิบขั้นต้น กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าทุน ที่จีนใช้สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2552 ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และน้ำมันสำเร็จรูป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น