เอกสารสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในกรอบอาเซียนรวมถึงข้อตกลงอาเซียนได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาในวันที่ 27 มกราคม 2552 ทำให้ไทยสามารถลงนามในความตกลงต่างๆ ร่วมกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้ตามบทบัญญัติในมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยความตกลงส่วนหนึ่งมีกำหนดลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 14 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ -1 มีนาคม 2552 ที่หัวหิน สำหรับกรอบความตกลง FTA อีกส่วนหนึ่งคาดว่าจะลงนามในที่ประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่กำหนดจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน 2552
ความตกลง FTA กรอบอาเซียนข้างต้นที่มีกำหนดลงนามในปีนี้ ได้แก่ FTA อาเซียน-อินเดีย FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ FTA อาเซียน-จีน ด้านการลงทุน และ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ด้านการค้าสินค้าและบริการ โดยคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในปี 2552 โดยอาจทยอยดำเนินการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 หลังจากการลงนามความตกลง FTA ในเดือนกุมภาพันธ์ และเมษายน 2552 ทำให้คาดว่าการเปิดเสรีตามความตกลงข้างต้นน่าจะช่วยกระตุ้นการส่งออกของไทยไปประเทศคู่ค้า FTA ได้ดีขึ้นบ้าง แม้ว่าในระยะสั้นสินค้าส่งออกของไทยอาจต้องเผชิญกับความต้องการภายในของประเทศเหล่านี้ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ที่ชะลอตัวจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ซบเซารุนแรงในขณะนี้ แต่ในระยะถัดไปเมื่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า FTA ต่างๆ ฟื้นตัวเป็นปกติ น่าจะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของไทยและอาเซียนอื่นๆ ได้มากขึ้น
ความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย และความตกลง FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ น่าจะมีผลบังคับใช้ได้เร็ว โดยเฉพาะความตกลง FTA อาเซียน-อินเดียที่อาจดำเนินการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ทำให้สินค้าส่งออกไทยไปอินเดียมีโอกาสขยายตัวได้ดีขึ้น จากปี 2551 ที่ผ่านมาที่การส่งออกของไทยไปอินเดียชะลอลงเหลือร้อยละ 27.7 ในปี 2551 จากที่เติบโตร้อยละ 47 ในปี 2550 แต่ก็ยังถือเป็นอัตราเติบโตที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการส่งออกไปประเทศอื่นๆ ในปี 2551 ส่วน FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ น่าจะดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยไปเกาหลีใต้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาที่ทัดเทียมกับอาเซียนอื่นๆ ที่ลงนามและดำเนินการเปิดเสรีภายใต้ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ไปก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ แม้ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีตามความตกลงกับคู่เจรจาต่างๆ ข้างต้น แต่ไทยคงต้องเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้าส่งออกของประเทศอาเซียนอื่นๆ ในตลาดคู่ค้า FTA เหล่านี้ด้วย เนื่องจากสินค้าส่งออกของประเทศอาเซียนอื่นๆ จะได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดของประเทศคู่ค้า FTA เช่นกัน ทำให้สินค้าส่งออกของประเทศอาเซียนอื่นๆ มีขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาที่ดีขึ้นภายใต้กรอบความตกลง FTA เช่นเดียวกันสินค้าส่งออกของไทยในตลาดคู่ค้า FTA ต่างๆ
อุตสาหกรรมไทยที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดภายใต้ความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย ที่สำคัญ ได้แก่ ปลากระป๋อง น้ำผลไม้ เครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่ความตกลง FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมไทย ที่สำคัญ ได้แก่ กากน้ำตาล เส้นด้าย กุ้งแช่เย็น/แช่แข็ง แป้งมันสำปะหลัง ปลาหมึก และอัญมณี เป็นต้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น