ในปี 2552 อาจเป็นปีที่ผู้ประกอบการขนมขบเคี้ยวต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะกดดันการทำตลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรวดเร็ว การปลดพนักงานปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนส่วนใหญ่จึงหันมาเน้นการใช้จ่ายอย่างประหยัดกันมากขึ้น ขนมขบเคี้ยวจึงเป็นสินค้าที่ประชาชนมีแนวโน้มลดการบริโภคลงค่อนข้างมาก สถานการณ์การแข่งขันเพื่อแย่งชิงกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อลดลงจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรเร่งปรับตัว และวางแผนกลยุทธ์รับมือกับกำลังซื้อที่ลดลงตลอดปี 2552 นี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตที่สำคัญทั้งแป้งสาลี มันฝรั่ง และน้ำมันปาล์มในปี 2552 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2551 แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก และจำนวนผู้ว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ขนมขบเคี้ยวกลายมาเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มลดการซื้อ และบริโภคลงในอันดับต้นๆ ประกอบกับความวิตกกังวลในการเลือกซื้อ และบริโภคขนมขบเคี้ยวที่มีนมเป็นส่วนประกอบที่อาจปนเปื้อนสารเมลามีนเกินระดับมาตรฐานที่จะบริโภคได้ที่ยังคงอยู่ จึงมีแนวโน้มที่ตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2552 จะหดตัวลงจากปี 2551 ประมาณ 5% โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 12,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเร่งปรับตัวเพื่อรักษายอดขายและส่วนแบ่งตลาดไม่ให้ลดต่ำลงมากนัก ทั้งการเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในขนมที่ผลิตในประเทศ การลดราคาและขนาดสินค้าลง การเพิ่มรสชาติใหม่ การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ การเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในขนมโดยยังคงรักษารสชาติเดิมไว้ การบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการจัดทำกลยุทธ์ Below the line แทนการพึ่งพิงการโฆษณาทางโทรทัศน์
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น