จากทิศทางราคาเหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในปัจจุบันพบว่า อุปสงค์จากประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคโลหะเหล่านี้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีบทบาทที่สำคัญค่อนข้างมากต่อการกำหนดทิศทางราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจีนกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 7.9 จากที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปี ที่ร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรก และมีการคาดหมายว่า การเติบโตในช่วงครึ่งหลังของปีจะเร่งตัวขึ้น ยิ่งเพิ่มความคาดหวังต่อความต้องการใช้โลหะที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ราคาโลหะต่างๆเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้าและคาดว่าราคาได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงกังวลว่าราคาโลหะที่พุ่งสูงขึ้นนี้อาจเป็นเพียงผลจากการนำเข้าเพื่อเก็บสต็อกของจีนเท่านั้น เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจบางตัวยังคงบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน แม้ว่าหลายประเทศจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยมาแล้วก็ตาม ประกอบกับล่าสุดจีนได้แสดงเจตนาที่จะจำกัดการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง หลังจากที่ได้มีการปล่อยเงินกู้สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ นอกจากนี้การที่รัฐบาลจีนได้เตรียมออกมาตรการเพื่อยับยั้งการผลิตที่มากเกินกว่าอุปสงค์ในตลาดของอุตสาหกรรมเหล็ก ปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลให้แนวโน้มราคาโลหะพื้นฐานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 นี้ราคาทองแดง และอลูมิเนียมมีแนวโน้มที่จะผันผวนสูงกว่า และมีโอกาสปรับลดราคาลงได้มากกว่าเหล็ก เนื่องจากมีปัจจัยด้านการเก็งกำไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่อนข้างมากกว่าราคาเหล็ก โดยเฉพาะราคาทองแดง ที่มีแนวโน้มผันผวนสูงสุด เนื่องจากมีการเข้ามาเก็งกำไรสูงมากจากที่เป็นโลหะที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าโลหะอื่นๆตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากปัจจัยสนับสนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เริ่มดีขึ้น
ซึ่งคาดว่าจะมีผลทำให้อุปสงค์ต่อโลหะยังคงมีอยู่มาก ส่งผลให้ราคาทองแดง และอลูมิเนียม แม้จะมีความผันผวนสูงแต่ก็จะไม่ปรับลดลงไปสู่ระดับเดียวกับช่วงปลายปี 2551 และช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 ขณะที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มผันผวนน้อยกว่า และอาจรักษาระดับเสถียรภาพของราคาที่ระดับสูงได้มากกว่าทองแดงและอลูมิเนียม เนื่องจากมีการนำเข้ามาเพื่อเก็บสต๊อกไม่สูงเกินไปกว่าอุปสงค์ในตลาดมากนักและมีการเก็งกำไรน้อยกว่า รวมถึงล่าสุดรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่ควบคุมความสามารถในการผลิตเหล็กในปัจจุบันที่สูงเกินไป ทำให้ปริมาณเหล็กในตลาดมีแนวโน้มที่ลดลง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดความผันผวนของราคาได้ในระยะต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น