ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ประเทศในกลุ่มอาเซียนเดิม 6 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และบรูไน มีข้อผูกพันจะต้องลดภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มโดยแยกเป็นน้ำมันจากเนื้อปาล์ม ทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันบริสุทธิ์ ( พิกัด 1511.10 และ1511.90) และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดปาล์มทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันบริสุทธิ์ (พิกัด 1513.21 และ1513.29) ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในบัญชีสินค้าปกติ(Inclusion List: IL) เป็นร้อยละ 0 (จะเห็นได้ว่ามีฟิลิปปินส์เพียงประเทศเดียวที่ยังคงภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มดิบไว้ที่ร้อยละ 3) ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า จะลดภาษีน้ำมันปาล์มเป็นร้อยละ 0 ภายในปี 2558
เมื่อพิจารณาสถานการณ์น้ำมันปาล์มในตลาดโลก และศักยภาพการส่งออกน้ำมันปาล์มทั้งของอินโดนีเซียและมาเลเซียแล้ว จะเห็นได้ว่าการลดภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มเหลือร้อยละ 0 ตามกรอบข้อตกลงอาฟตา แม้ว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากหากชะลอออกไปไทยอาจจะต้องชดเชยให้ประเทศในอาเซียนที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะมาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ประเด็นที่ยังคงต้องติดตามผลกระทบต่อไปคือ ปริมาณการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซียมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออกอย่างมาก เมื่อไทยต้องลดภาษีนำเข้า และยกเลิกโควตาการนำเข้า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซียลดลง ราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ของอินโดนีเซียและมาเลเซียที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าไทยประมาณร้อยละ 20 (ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยอิงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซีย) ก็มีแนวโน้มจะทะลักเข้ามาในไทย
คาดว่าผู้ประกอบการไทยจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากราคาถูกกว่าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในประเทศไทย ดังนั้นผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ของไทยได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็ส่งผลทางอ้อมไปยังการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัด และเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในที่สุด ในขณะที่อุตสาหกรรมปลายน้ำหรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบ รวมทั้งผู้บริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มจะได้รับประโยชน์จากการที่มีทางเลือกในการซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าในราคาถูกลง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น