เม็ดพลาสติก PVC เป็นเม็ดพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งแม้ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากการหดตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและการลดลงของราคาน้ำมัน ทำให้ปริมาณความต้องการใช้และราคาของเม็ดพลาสติก PVC อ่อนตัวลงก็ตาม แต่เนื่องจากเม็ดพลาสติก PVC มีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเม็ดพลาสติกชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกประเภท PE ทำให้ราคาของเม็ดพลาสติก PVC ถูกกว่า จึงเป็นที่ต้องการใช้มากในอุตสาหกรรมก่อสร้างของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่ง CMAI คาดว่าในช่วงปี 2553-2555 ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.0 ต่อปี ส่วนใหญ่จะค่อนข้างโน้มเอียงไปในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชีย-แปซิฟิค และเอเชียใต้ โดยจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC มากที่สุดในโลก และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของจีน
อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของจีนอย่างรวดเร็ว ทำให้ในปัจจุบันจีนสามารถผลิตเม็ดพลาสติก PVC ได้เองภายในประเทศมากขึ้น โดยใช้ Acetylene ที่ผลิตได้จากถ่านหินเป็นวัตถุดิบสำคัญ ทำให้เม็ดพลาสติก PVC ที่จีนผลิตได้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเม็ดพลาสติก PVC ของคู่แข่งขันที่ใช้ก๊าซเอทิลีนซึ่งผลิตได้จากน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ ทำให้แนวโน้มการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ของจีนจึงมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกกลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นแทน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในช่วงหลังจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่า ในปี 2553 ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5-7 ขณะที่ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทย น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6-7 และมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7-9 จากปี 2552 ซึ่งตลาดส่งออกที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญคือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชีย อาทิ ตุรกี อินเดีย บังกลาเทศ ลาว กัมพูชา
เนื่องจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ เหล่านี้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น แต่การผลิตเม็ดพลาสติก PVC ภายในประเทศเหล่านี้ยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นการชดเชยกับปริมาณการส่งออกในประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างจีนและเวียดนามที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แนวโน้มของราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลก ยังเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากวิกฤต Dubai World และการปรับลดค่าเงินด่องของเวียดนาม ที่อาจส่งผลต่อปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่คาดว่าจะทำให้ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยขยายตัวได้สูงขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ที่มักส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม จึงทำให้คาดว่าการเพิ่มการลงทุนหรือขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการภายในประเทศอาจมีความไปได้ยากมากขึ้น ดังเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในอนาคตการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการไทย น่าจะอยู่ในลักษณะของการย้ายฐานการผลิตและการกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแทนมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป น่าจะช่วยให้การขยายการลงทุนและการเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการไทยในประเทศเพื่อนบ้านมีความเป็นไปได้มากขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น