ปี 2553 ถือเป็นปีแห่งการเปิดเสรีการค้าที่สำคัญของอาเซียนในหลายกรอบการค้า ได้แก่ FTA กรอบอาเซียน(AFTA) และอาเซียน-จีน ที่มีกำหนดลดภาษีสินค้าปกติเป็นร้อยละ 0 วันที่ 1 มกราคม 2553 ส่วน FTAอาเซียน-อินเดีย FTAอาเซียน-เกาหลีใต้ และFTAอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์เริ่มต้นลดภาษีในปีนี้ ซึ่งการค้าเสรีในกรอบอาเซียน(AFTA) เป็นประเด็นที่น่าจับตาสำหรับประเทศอินโดนีเซียที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและเนื่องจากไทยและอินโดนีเซียอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน ต่างเป็นคู่ค้าที่สำคัญมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและวัตถุดิบผลิตเพื่อขายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ปี 2553 เป็นโอกาสขยายตลาดสินค้าไทยในอาเซียนซึ่งได้อานิสงส์จากการเปิดเสรีทางการค้าภายใต้กรอบ AFTA ที่ลดภาษีสินค้าปกติ(Normal Track)ระหว่างกันเหลือร้อยละ 0 โดยการส่งออกสินค้าจากไทยไปอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในอาเซียนที่สำคัญยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างโดนเด่นในภูมิภาคอาเซียนและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ทำให้คาดว่าความต้องการบริโภคสินค้าของอินโดนีเซียจะมากขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งสินค้าส่งออกของไทยทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบสินค้าขั้นกลางเพื่อการผลิตที่น่าจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีกรอบ AFTA ค่อนข้างมาก ได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือน สินค้าอาหาร เคมีภัณฑ์และพลาสติก เป็นต้น
แม้ว่าผลดีจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่คาดว่าจะผลักดันให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับความตกลงทางการค้าเสรีอาเซียน(AFTA)ที่ช่วยสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่เติบโตต่อเนื่องประกอบกับระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นทำให้คาดว่าทางการอินโดนีเซียอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจและกดดันการบริโภคในประเทศให้ชะลอตัวไปบ้างแต่ก็คาดว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียในปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2552 จึงน่าจะช่วยการส่งออกของไทยไปอินโดนีเซียในปีนี้กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น