ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยทำกับ 7 ประเทศคู่ค้าคือ อาเซียน จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกไทยในปีนี้ เพราะนอกจากสินค้าไทยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้นและครอบคลุมสินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะการยกเลิกภาษีสินค้าปกติทุกรายการในกรอบ AFTA และในกรอบ FTA อาเซียน-จีนแล้ว ยังรวมถึง FTA ที่มีผลบังคับใช้ในปีนี้คือ FTA อาเซียน-อินเดีย FTA อาเซียน-เกาหลีใต้และ FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ การส่งออกไทยยังได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจของประเทศคู่เจรจา FTA ของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราสูงโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ตลอดจนสมาชิกอาเซียนเดิมอย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ ส่วนเศรฐกิจของญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ที่หดตัวลงในปีก่อนอาจจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ตลาดที่ไทยมีโอกาสการส่งออกสูงในปี 2553 คือ อินเดีย จีน รวมถึงอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์และเวียดนาม เพราะ 1.) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราสูง 2.) อาเซียนเดิมและจีนได้ยกเลิกภาษีสินค้าทุกรายการในบัญชีลดภาษีให้กับไทยแล้วตั้งแต่ 1 ม.ค. 2553 ขณะที่อินเดียได้ลดภาษีสินค้าให้กับไทยกว่า 5,000 รายการภายใต้ AIFTA เพิ่มเติมจากการยกเลิกภาษีสินค้า 82 รายการใน TIFTA ไปเมื่อก.ย. 2549 3.) ผู้ประกอบกอบการไทยมีแนวโน้มใช้สิทธิ FTA เพื่อการส่งออกมากขึ้นโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ส่วนตลาดที่ไทยมีโอกาสการส่งออกปานกลางคือ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพราะเศรษฐกิจปี 2553 ของทั้ง 3 ประเทศมีแนวโน้มขยายตัวค่อนข้างต่ำ แม้ว่าเกาหลีใต้ต้องยกเลิกภาษีสินค้าให้กับไทยถึงร้อยละ 92.3 ของพิกัดสินค้า และออสเตรเลียต้องยกเลิกภาษีให้กับไทยถึงร้อยละ 96.1 ของพิกัดสินค้าก็ตาม หากผู้ส่งออกไทยสามารถปรับตัวเพื่อให้ใช้สิทธิ FTA ได้มากขึ้นแล้ว จะช่วยขยายโอกาสการส่งออกไทยไปยังเกาหลีใต้และออสเตรเลียได้
ประเด็นท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยคือ มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs) อาทิกฎข้อบังคับด้านเทคนิค มาตรฐานที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ กฎระเบียบและขั้นตอนการนำเข้าที่มีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนและความเข้มงวดขึ้น ซึ่งมาตรการที่มิใช่ภาษีหลายมาตรการอาจจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนทางภาษีที่ลดลงหลังจากประเทศคู่เจรจาลดหรือยกเลิกภาษีให้กับสินค้าไทยภายใต้ FTA ต่างๆ ที่ไทยทำกับ 7 ประเทศคู่เจรจา โดยมาตรการทางเทคนิคและมาตรฐานสินค้าที่เข้มงวดมากนั้นอาจก่อภาระต้นทุนให้กับผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้นมาก ทั้งต้นทุนที่อาจจะสูงขึ้นจากการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและสอดคล้องกับกฎระเบียบการนำเข้าของประเทศผู้นำเข้า นอกจากนี้ยังรวมถึงต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากการประเมินหรือทดสอบคุณภาพของสินค้าว่ามีกระบวนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานและกฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้าหรือไม่
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น