การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนมิถุนายนเติบโตชะลอเหลือร้อยละ 26.3 จากช่วงเดียวกันของปี 2552 (YoY) หลังจากที่ขยายตัวเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 39 ในเดือนพฤษภาคมก่อนหน้า (YoY) ส่งผลให้การส่งออกไปจีนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโตร้อยละ 47.8 (YoY) ลดลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 70 การชะลอตัวของการส่งออกไปจีนในเดือนมิถุนายน สอดคล้องไปกับทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ที่อ่อนแรงลง คาดว่าการส่งออกของไทยไปตลาดจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากฐานเปรียบเทียบในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งปัจจัยกดดันจากความอ่อนแรงของเศรษฐกิจภายในจีนตามนโยบายควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ความต้องการนำเข้าของจีนอ่อนแรงลงตามการบริโภคและการลงทุนที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยไปจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มอ่อนแรงลง ซึ่งเริ่มเห็นจากสินค้าส่งออกสำคัญๆ ไปจีนในเดือนมิถุนายนที่เริ่มชะลอตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้า/ส่วนประกอบ ขณะที่ภาคส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีนี้จะส่งผลให้ควมต้องการนำเข้าของจีนจากไทยเพื่อใช้ผลิตส่งออกอ่อนแรงลงตามไปด้วย เช่น คอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังมีแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งพัฒนาภาคตะวันตก และมาตรการให้เงินสนับสนุนการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน ทำให้คาดว่าการบริโภคและการลงทุนภายในจีนยังมีแรงขับเคลื่อนให้เติบโตต่อไปได้ นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาคส่งออกและภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอลง ทำให้คาดว่าทางการจีนอาจจะชะลอการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมทั้งการดำเนินนโยบายไม่ให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากนักเพื่อลดผลกระทบต่อภาคส่งออก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามาตรการเหล่านี้ที่มุ่งเน้นการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนยังมีความต้องการภายใน ซึ่งน่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังเติบโตต่อไปได้ โดยคาดว่าอาจขยายตัวราวร้อยละ 12-16 (YoY) ชะลอลงจากที่เติบโตร้อยละ 47.8 ในช่วงครึ่งปีแรก (YoY) ส่งผลให้การส่งออกไปจีนทั้งปีอาจขยายตัวราวร้อยละ 25-30 โดยจีนยังถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกโดยรวมของไทยในปีนี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น