จากการเปิดเสรีภายในอาเซียน จะเห็นได้ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยได้รับประโยชน์ค่อนข้างมากจากการเปิดเสรีดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของสินค้ารถยนต์นั่ง ซึ่งมีการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นมากหลังภาษีนำเข้าได้ลดลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยประเทศที่ไทยมีโอกาสในการส่งออกรถยนต์นั่งมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย รองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ตามลำดับ ส่งผลทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าการส่งออกรถยนต์จากไทยไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีโอกาสที่จะขยายตัวสูงถึงประมาณร้อยละ 86 ถึง 91 ในปี 2553 นี้ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 3,300 ถึง 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2552 ที่หดตัวถึงร้อยละ 19.9 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 1,776.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่งคาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์รวมทั้งหมดของไทยไปอาเซียน ทั้งนี้ การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะยังคงมีมูลค่าสูงขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรกนั้น เนื่องจากมีหลายบริษัทที่จะเริ่มส่งออกรถยนต์จากสายการผลิตใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามอัตราการขยายตัวช่วงครึ่งปีหลังคงชะลอลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 65 ถึง 74 จากร้อยละ 120 ในครึ่งปีแรก เนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบในปีก่อนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดเสรีภายในอาเซียนทำให้สินค้าบางประเภทได้รับผลกระทบด้านลบ เช่น รถบัสและรถบรรทุก รวมถึงกระปุกเกียร์ เป็นต้น ซึ่งมีการนำเข้ามายังไทยเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก นอกจากนี้ปัญหาและความไม่พร้อมในแง่ต่างๆของไทยทั้งในด้านกฏระเบียบของทางภาครัฐ เช่น ปัญหาเรื่องเอกสารต่างๆ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการขาดศูนย์ทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วนในประเทศ ประกอบกับปัญหาจากนอกประเทศ เช่น มาตรการที่มิใช่ภาษีต่างๆที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นนี้ ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับปัญหาในการส่งออก และไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าอย่างเต็มที่ ซึ่งภาครัฐในหลายภาคส่วนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันและเร่งเข้าไปดูแลในประเด็นต่างๆ เพื่อลดอุปสรรคให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการช่วยขยายโอกาสในการส่งออกสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนไทย รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนที่น่าลงทุนในภูมิภาคในระยะยาว
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น