การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2553 เพิ่มขึ้นมามีมูลค่า 16,452 ล้านดอลลาร์ฯ จาก 15,565 ล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนกรกฎาคม โดยมูลค่าที่ปรับฤดูกาลเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.0 (Seasonally Adjusted Month-on-Month) หลังจากที่เมื่อเดือนกรกฎาคม มูลค่าการส่งออกที่ปรับฤดูกาลลดลงร้อยละ 13.4 จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การส่งออกขยายตัวดีขึ้นในอัตราร้อยละ 23.9 (Year-on-Year) จากที่ขยายตัวชะลอลงมาที่ร้อยละ 20.6 ในเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ หากไม่รวมผลของทองคำที่มีการส่งออกลดลงมาก การส่งออกขยายตัวร้อยละ 26.2 (YoY) สูงขึ้นจากร้อยละ 21.9 ในเดือนก่อนหน้า การส่งออกที่ดีขึ้นนี้เป็นผลมาจากการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องของสินค้าในกลุ่มรถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มเครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร เป็นต้น
ตัวเลขการส่งออกในเดือนสิงหาคม 2553 ที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น เป็นสัญญาณเชิงบวกว่าการส่งออกของไทยยังคงมีแรงส่งให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าของเงินบาท ที่อาจฉุดรั้งให้การส่งออกชะลอตัวลงบ้างก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงโค้งสุดท้ายของการส่งออกในปีนี้ ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มเงินบาทที่ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อไปได้อีกนั้น อาจเป็นปัจจัยลบสำคัญที่ทำให้การส่งออกมีทิศทางที่อ่อนแรงลง แต่ขณะเดียวกัน คาดว่าการส่งออกยังคงมีแรงหนุนจากความคืบหน้าของแผนการลงทุนโยกย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติเข้ามายังประเทศไทย ราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยผลผลิตพืชผลในตลาดโลกที่ตึงตัวน่าจะช่วยลดแรงกดดันในการแข่งขันด้านราคาลง และช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าเงินบาทลงได้บ้าง นอกจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่นๆ น่าจะช่วยประคับประคองการส่งออกของไทยให้ยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกในไตรมาสที่ 3/2553 น่าจะขยายตัวในกรอบประมาณร้อยละ 17-20 (YoY) ก่อนชะลอตัวลงมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยคาดว่าการส่งออกตลอดทั้งปี 2553 น่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบร้อยละ 22.0-27.0 ซึ่งในกรณีที่เศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่องและเงินบาทแข็งค่าในจังหวะที่รวดเร็ว การส่งออกในไตรมาสสุดท้ายอาจขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 10 โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่จะเข้ามายังตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับความมั่นใจของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่หากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวรุนแรง ปฏิกิริยาของตลาดอาจเป็นไปในทางผกผันทำให้เงินทุนไหลกลับไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น ซึ่งจะเป็นทิศทางที่สนับสนุนให้บาทอ่อนค่าลง นอกจากนี้ยังต้องติดตามท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับมาตรการที่อาจนำมาใช้เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท เช่น การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การลงทุนหรือนำเงินทุนออกไปยังต่างประเทศ และอาจรวมไปถึงการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น