การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนสิงหาคม 2553 ชะลอตัวลง โดยมูลค่าการส่งออกไทยไปจีนในเดือนสิงหาคมเป็น 1,798.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับร้อยละ 29.6 ในเดือนกรกฎาคม อีกทั้งยังเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 9 เดือนด้วย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนเองที่เริ่มบรรเทาความร้อนแรงลงบ้าง จากที่ทางการจีนพยายามควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และการแข็งขึ้นของค่าเงินหยวนที่จะกระทบการส่งออกของจีน และขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยที่อ่อนแรงลงจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทิศทางการส่งออกของไทยไปจีนในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2553 ก็อาจจะแผ่วตัวลงได้อีก เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หรือสัญญาณฟื้นตัวที่ยังไม่ชัดเจนของประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ที่อาจมีส่วนผลักดันให้การแข่งขันเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกำลังซื้อในจีนมีแนวโน้มทวีความเข้มข้นมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการที่ผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ก็อาจส่งผลบั่นทอนให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ทางการจีนยังคงมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครกรุงปักกิ่ง เทียนจิน และมณฑลเหอเป่ย พร้อมทั้งเริ่มทยอยลงทุนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการที่จีนได้กลายเป็นแหล่งลงทุนที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรง จนกลายเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในโลกในปัจจุบัน ก็น่าจะกระตุ้นให้ความต้องการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และน่าจะช่วยผลักดันการส่งออกของไทยไปจีนให้ยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2553 แต่อาจจะแผ่วลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงยังคงกรอบประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกไทยไปจีนในปี 2553 ที่ร้อยละ 25-30
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น