โรงเรียนสอนทำอาหารไทย.....หลากหลายปัจจัยหนุนธุรกิจเติบโตในปี 2554 (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2984)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าในปี 2554 เม็ดเงินสะพัดในธุรกิจโรงเรียนสอนทำอาหารไทยสูงถึง 250 ล้านบาท มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 10-15 (YoY) จากปัจจัยบวกหลายประการที่เป็นแรงหนุนให้ความต้องการเรียนของลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรเร่งรัด (ใช้เวลาเรียนครึ่งวัน ถึง 1 วัน) ซึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้การเรียนทำอาหารไทยในหลักสูตรเร่งรัดขยายตัว ได้แก่ 1) การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งกระแสความนิยมอาหารไทยในกลุ่มชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเรียนทำอาหารไทยมากขึ้น 2) ผู้ประกอบการเริ่มสร้างจุดขายเพื่อดึงกลุ่มผู้เรียนชาวต่างชาติ โดยการปรับรูปแบบการสอนให้มีสภาพแวดล้อมภายใต้วิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทย และ 3) กระแสความนิยมทำอาหารไทยเพื่อเป็นงานอดิเรกในกลุ่มคนไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลให้ขยายตัวทั้งในแง่ของการเพิ่มจำนวนหลักสูตรที่เปิดสอนต่อเดือน การเพิ่มจำนวนโรงเรียนสาขาที่เปิดสอน และการเข้ามาดำเนินกิจการของผู้ประกอบการรายใหม่

สำหรับการขยายตัวของการเปิดสอนในหลักสูตรระยะสั้น (ใช้เวลาเรียนมากกว่า 1 วันขึ้นไป) มีผลมาจากปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่แนวโน้มของความต้องการเรียนเพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหารในประเทศเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหารในต่างประเทศ ประกอบกับความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (โรงเรียนสอนทำอาหาร) ในการจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้มีผู้สนใจสมัครเรียนทำอาหารมากขึ้น

จากหลากหลายปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อการขยายตัวของธุรกิจโรงเรียนสอนทำอาหารไทย ทำให้ในปี 2554 มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงขึ้น สำหรับการเปิดสอนหลักสูตรเร่งรัดผู้ประกอบการควรปรับปรุง/เพิ่มเติมเนื้อหา และปรับปรุงรูปแบบในการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งควรเพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ ส่วนแนวทางในการปรับตัวของการเปิดสอนในหลักสูตรระยะสั้น ควรเน้นการพัฒนาหลักสูตรในการสอนให้มีความหลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า รวมทั้ง ควรปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานในการเรียนการสอนของโรงเรียนให้เป็นที่ยอมรับจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ