ตลาดอาหารอินทรีย์ (Organic food) ในไต้หวันนับว่ามีความน่าสนใจและเป็นโอกาสในการส่งออกของไทย เนื่องจากการบริโภคอาหารอินทรีย์มีอัตราการเติบโตสูงเฉลี่ยร้อยละ 30 ต่อปีระหว่างปี 2548 – 2552 อีกทั้งยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไต้หวัน ทำให้ผู้บริโภคไต้หวันที่มีกำลังซื้อสูงหันมาสนใจบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และตระหนักในประเด็นการรักษาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ประกอบกับค่านิยมการบริโภคอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ และพื้นฐานการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่งด้วยสัดส่วนร้อยละ 58 ของ GDP ทำให้สินค้าประเภทอาหารอินทรีย์มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดไต้หวัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ไทยมีโอกาสเจาะตลาดอาหารอินทรีย์ในไต้หวัน เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติและพืชพรรณที่หลากหลาย ผู้ประกอบการไทยมีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยหลายชนิดได้รับการยอมรับในตลาดยุโรปซึ่งขึ้นชื่อในด้านความเข้มงวด โดยสินค้าที่น่าสนใจผลักดันเข้าสู่ไต้หวัน ได้แก่ ข้าวอินทรีย์ และหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ นอกจากนั้นยังมีสินค้าอื่นๆ ซึ่งเหมาะแก่การพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อการผลักดันเป็นสินค้าอินทรีย์ส่งออกไปยังไต้หวัน ได้แก่ ผักอินทรีย์อื่นๆ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดหวาน (Cos lettuce) และผักกาดแก้ว กลุ่มซอส น้ำสลัด และเครื่องปรุงอินทรีย์ รวมไปถึง ผักและผลไม้กระป๋อง และน้ำผลไม้ ที่ผลิตจากผัก/ผลไม้อินทรีย์ โดยคู่แข่งที่สำคัญสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ในไต้หวันในปัจจุบันคือ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ส่วนคู่แข่งที่น่าจับตามองในอนาคตคือ จีน เนื่องจากมีกำลังการผลิตมหาศาล อีกทั้งยังมีความได้เปรียบด้านการขนส่ง และอาจพัฒนาคุณภาพขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับในไต้หวันได้ในอนาคต ส่วนอุปสรรคที่สำคัญของไทยในขณะนี้ คือ กำลังการผลิตที่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการส่งออก ทำให้จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต อีกทั้งยังต้องอาศัยการกระตุ้นจากภาครัฐทั้งในด้านการขยายพื้นที่เพาะปลูกและด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างโอกาสในการนำรายได้เข้าประเทศและการขยายตลาดอย่างยั่งยืนในอนาคต สำหรับช่องทางในการขยายโอกาสส่งออกสินค้าอาหารอินทรีย์ของไทย ผู้ประกอบการไทยอาจผลักดันการส่งออกผ่านเครือข่ายผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่ายของไต้หวัน ซึ่งบางรายทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ขั้นตอนเข้ามารับซื้อสินค้าจากแหล่งผลิตในไทยไปจนถึงการกระจายสินค้าสู่ตลาด ซึ่งน่าจะเป็นช่องทางที่สะดวกกว่าวิธีอื่น ประเด็นปัญหาสำคัญในการเจาะตลาดไต้หวันคือการที่ไต้หวันยังไม่รับรองตราสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทย ทำให้ต้องส่งสินค้าเข้าไปในนามของสินค้าเกษตรอนามัย ก็นับเป็นอุปสรรคที่ควรเร่งแก้ไขโดยภาครัฐควรผลักดันให้มีการยื่นขอรับการรับรองเพิ่มมิให้ไทยเสียโอกาสในตลาดสินค้าอินทรีย์ที่กำลังขยายตัว นอกจากนั้นความสับสนของผู้ผลิตไทยเอง ระหว่างมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์และเกษตรอนามัย ก็อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอาหารอินทรีย์ไทย และเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกไปยังไต้หวันได้เช่นกัน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น