กระแสข่าวข้าวสารบรรจุถุงอาจจะขาดตลาด และจะปรับราคาขึ้นทันทีเมื่อมีการประกาศมาตรการรับจำนำข้าวในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ นับเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของบรรดาผู้บริโภค เนื่องจากเมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผู้บริโภคเกิดความวิตกกับปัญหานี้และเริ่มซื้อข้าวเก็บตุนไว้ จนกระทั่งข้าวสารบรรจถุงบนชั้นวางจำหน่ายในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่งลดจำนวนลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งกระทรวงพาณิชย์และผู้ประกอบการข้าวถุงต่างออกมายืนยันว่าปริมาณข้าวยังมีเพียงพอต่อการบริโภค เพียงแต่อาจจะต้องทยอยปรับราคาขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เนื่องจากยังมีข้าวในสต็อกของรัฐบาล 1.2 ล้านตัน และสต็อกของเอกชน 3.2 ล้านตัน รวมทั้งในเดือนกันยายน 2554 จะมีข้าวนาปรังรอบ 2 ออกสู่ตลาดอีกประมาณ 1.5 ล้านตัน(คาดว่าจะเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม 0.5 ล้านตัน) ดังนั้น ปริมาณข้าวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่รวมกับข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนมีอยู่ประมาณ 5.9 ล้านตัน เทียบกับความต้องการข้าวทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 5.2 ล้านตัน โดยแยกเป็นความต้องการบริโภคข้าวในประเทศเฉลี่ยประมาณ 0.7 ล้านตัน/เดือน(คำนวณจากอัตราเฉลี่ยการบริโภคข้าว 135 กิโลกรัม/คน/ปี) และคาดการณ์ส่งออกข้าวในช่วงที่เหลือของปีนี้เฉลี่ย 0.6 ล้านตัน/เดือน(คำนวณจากการคาดการณ์ว่าในปี 2554 ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 10 ล้านตัน และในช่วง 7 เดือนแรกส่งออกไปแล้ว 7.12 ล้านตัน หรือเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านตัน/เดือน)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าผลของการทยอยปรับเพิ่มราคาจำหน่ายปลีกข้าวสารบรรจุถุงจะส่งผลให้ผู้บริโภคข้าวสารบรรจุถุงปรับพฤติกรรมการซื้อ กล่าวคือ ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจจะหันไปซื้อข้าวตักหรือข้าวกระสอบ ซึ่งมีจำหน่ายในตลาดสด หรือร้านค้าดั้งเดิม ส่วนผู้บริโภคที่ยังคงซื้อข้าวสารบรรจุถุงอาจจะเลือกเปลี่ยนยี่ห้อข้าว หรือประเภทข้าว จากข้าวหอมมะลิเป็นข้าวขาว โดยพิจารณาจากปัจจัยทางด้านราคาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้บริโภคข้าวสารบรรจุถุงบางกลุ่มที่อาจไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคข้าวระดับพรีเมี่ยม ซึ่งมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสูง และเน้นคุณภาพข้าวเป็นหลัก
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น