การส่งออกของไทยไปตลาดยุโรปในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2554 เติบโตได้ดีเกินคาดในอัตราร้อยละ 22.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 โดยได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจหลักยุโรปที่ยังขยายตัวได้ค่อนข้างดี แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2554 ไทยอาจเผชิญแรงกดดันด้านการส่งออกมากขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปที่ยังอ่อนแอ ทั้งยังมีปัจจัยฉุดรั้งแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาวิกฤติหนี้ของกรีซ ที่ยังคงเป็นประเด็นและมีความไม่แน่นอนว่าจะยุติในรูปแบบใด ซึ่งได้สร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจในวงกว้างทั้งเศรษฐกิจยุโรปและตลาดโลก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้พิจารณาแนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2554 ใน 2 กรณี คือ
-กรณีที่ 1 เศรษฐกิจยุโรป (EU27) ยังสามารถขยายตัวได้ในอัตราใกล้เคียงกับที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 1.6-1.7 และปัญหาวิกฤติหนี้ยังอยู่ในระดับที่ไม่แผ่ขยายไปในวงกว้างออกไปจากปัจจุบันที่มีประเทศที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่ม PIIGS คาดว่าภาพรวมการส่งออกของไทยไปยุโรปในปี 2554 น่าจะขยายตัวในกรอบประมาณร้อยละ 16-20 แต่การขยายตัวอาจชะลอลงเป็นเพียงตัวเลขหลักเดียวในปี 2555
- กรณีที่ 2 เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอการขยายตัวอย่างรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย และปัญหาวิกฤติหนี้ได้แผ่ขยายไปในวงกว้าง ภาพรวมการส่งออกของไทยไปยุโรปในปี 2554 น่าจะขยายตัวในกรอบประมาณร้อยละ 13-18 และอาจเห็นการเติบโตที่ติดลบในปี 2555
ทั้งนี้ สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังมีทิศทางขาลงและยืดเยื้อในระยะยาว อาจครอบคลุมสินค้าหลายรายการที่ไทยพึ่งพาตลาดยุโรปเป็นหลัก อาทิ สินค้ากลุ่มอาหาร เช่น ไก่แปรรูป ปลาหมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ รถจักรยานและส่วนประกอบ รองเท้าและชิ้นส่วน เครื่องนุ่งห่ม เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น นอกจากนี้ อาจครอบคลุมถึงสินค้าที่เคยพึ่งพากำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดยุโรป อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ และยังอาจกระทบถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ จากมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มข้นมากขึ้นและตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้น ซึ่งยิ่งบีบคั้นอำนาจใช้จ่ายของชาวยุโรปลงไปอีก ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปรอบใหม่นี้ อาจส่งผลในหลายภาคส่วนเศรษฐกิจมากขึ้น และผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในวงกว้าง ทำให้อาจเผชิญความยากลำบากมากขึ้นในการจับกลุ่มลูกค้าเดิมและมองหาลูกค้าใหม่ โดยควรเน้นในการบริหารต้นทุนการจัดการและป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน ศึกษาตลาดและฐานะสภาพคล่องของลูกค้า เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนปรับกลยุทธ์การส่งออกและรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดรับลักษณะความต้องการผู้บริโภคที่มีความมัธยัสถ์มากขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น