การส่งออกของไทยไปจีนเดือนสิงหาคมยังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการเติบโตที่สูงถึงร้อยละ 50.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แตะมูลค่า 2,699.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในสัดส่วนร้อยละ 12.5 โดยนอกจากจะได้รับแรงหนุนจากความต้องการภายในประเทศที่รายได้ประชากรมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและนโยบายรัฐบาลซึ่งมุ่งส่งเสริมการกระจายรายได้และการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ประกอบกับมีการเร่งนำเข้าวัตถุดิบของจีนภายหลังจากสต็อกสินค้าเริ่มถดถอย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแล้ว ยังเป็นผลมาจากผู้ส่งออกของไทยหลายรายต่างทยอยหันไปทำการค้ากับจีนเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางกระแสความเสี่ยงต่อแนวโน้มการกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยูโรโซน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่มีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 20 ของการส่งออกของไทยโดยรวม เพราะหากเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาคประสบปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นเองก็ยังต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควรในการฟื้นตัว ทำให้ผู้ประกอบการไทยหลายรายที่เดิมเคยพึ่งพิง 3 ตลาดดังกล่าวจำเป็นต้องเร่งปรับตัวด้วยการแสวงหาตลาดใหม่ๆรองรับ ซึ่งตลาดจีนนั้นนอกจากจะมีตลาดขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลกแล้ว ภาวะเศรษฐกิจของจีนก็ยังคงส่งสัญญาณที่มีศักยภาพเหนือประเทศคู่ค้าหลักทั้ง 3 แหล่งของไทย อีกทั้งทางการจีนก็ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินการค้ากับกลุ่มประเทศแถบอาเซียน อันหมายรวมถึงไทยเพิ่มขึ้นด้วยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558)
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่ชัดเจน อีกทั้งแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อในจีนที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ตามความผันผวนของราคาสินค้าอาหาร และสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญๆในตลาดต่างประเทศ ที่อาจจะมีผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังของทางการจีนนับจากนี้มีข้อจำกัดในเชิงนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจมีผลให้ผู้บริโภคภายในประเทศจีนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และเกิดการชะลอของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2554 ตามมาได้นั้น ก็นับเป็นปัจจัยท้าทายของภาวะส่งออกไทยไปจีนในระดับหนึ่ง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2554 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 22-27
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น