เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีอากรตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ขั้นสุดท้ายของ 7 ประเทศผู้ส่งออกกุ้งหลักของสหรัฐฯ โดยจากการไต่สวนขั้นสุดท้ายพบว่า ไทยและอินโดนีเซีย มีการอุดหนุนจากภาครัฐในการช่วยเหลือสนับสนุนการส่งออกในระดับต่ำ ส่งผลให้ไทยและอินโดนีเซียรอดพ้นจากการถูกเรียกเก็บอัตราภาษีอากร CVD จากสหรัฐฯ ในขณะที่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซียมีอัตราภาษีอากร CVD สูงสุด รองลงมาเป็น จีน เอกวาดอร์ เวียดนาม และอินเดีย ตามลำดับ ทั้งนี้ 5 ประเทศดังกล่าว ยังต้องรอผลการพิจารณาด้านผลกระทบต่อผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ของคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกันยายน ซึ่งหากผลการตัดสินเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับผลการตัดสินของกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ก็มีโอกาสหลุดพ้นจากการเรียกเก็บอัตราภาษีอากร CVD ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การที่ไทยไม่ถูกเรียกเก็บภาษีอากร CVD นับเป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมกุ้งส่งออกไทย ท่ามกลางหลายปัจจัยกดดันอุตสาหกรรมกุ้งส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม ผลจากปัจจัยนี้ต่อทิศทางการส่งออกกุ้งของไทยในระยะที่เหลือของปี 2556 คงมีจำกัด โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยทั้งปี 2556 อาจยังคงหดตัวกว่าร้อยละ 30 (YoY) จากภาวะขาดแคลนผลผลิตกุ้งต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากในช่วงครึ่งปีแรก มูลค่าการส่งออกหดตัวถึงร้อยละ 37 (YoY) ทั้งนี้ ในระยะถัดไป หากปัจจัยลบด้านผลผลิตและประเด็นด้านแรงงานทยอยคลี่คลาย เมื่อผนวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป คาดว่าอุตสาหกรรมกุ้งส่งออกของไทยน่าจะมีทิศทางการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ปี 2557
มองไปข้างหน้า ไทยยังมีโอกาสกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ แต่ต้องใช้เวลาในการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากลูกค้า อีกทั้งยังมีความท้าทายจากคู่แข่ง โดยเฉพาะบางประเทศที่ทยอยมีบทบาทในตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น อย่างอินโดนีเซีย เอกวาดอร์ และเวียดนาม ดังนั้น การพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยง การสร้างจุดแข็งด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการดูแลประเด็นด้านแรงงาน ยังเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยยังคงบทบาทเป็นผู้นำด้านการส่งออกกุ้งในตลาดหลักอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่ไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากประเทศคู่แข่งที่ทยอยมีบทบาทเพิ่มขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น