นับจากที่ไทยและชิลีสามารถสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และที่ประชุมรัฐสภาของไทยได้เห็นชอบความตกลงฯดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2556 นั้น ในขณะนี้ ไทยกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อลงนาม FTA ไทย-ชิลี ในช่วงที่ประธานาธิบดีของชิลีเดินทางเยือนระหว่างวันที่ 3-4 ตุลาคม 2556 และคาดว่าจะสามารถมีผลบังคับใช้ได้ภายในปลายปี 2556 นี้ โดย FTA ฉบับนี้จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าของไทยและชิลีกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมดและของมูลค่านำเข้าลดลงเหลือร้อยละ 0 ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ และอีกร้อยละ 10 ที่เหลือนั้นจะทยอยลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลา 5 ปี
ด้วยเหตุนี้ การจัดทำ FTA ไทย-ชิลีจึงเอื้อให้สินค้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดชิลีได้อย่างสะดวกขึ้น และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยให้รักษาส่วนแบ่งตลาดในชิลีไว้ได้ นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการไทย FTA ไทย-ชิลีจะเป็นประโยชน์ในแง่ของต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตที่ลดลง โดยกลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์ ได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋อง อาหารแปรรูป ผลไม้กระป๋อง เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา เม็ดพลาสติก ปูนซิเมนต์ อัญมณีและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในระยะ 5 ปีนับจาก FTA ไทย-ชิลีมีผลบังคับใช้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยและชิลีจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยราวร้อยละ 13 ต่อปี ส่งผลให้มูลค่าการค้ามีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 1 เท่าตัว จาก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2556 เป็น 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2561 ชิลีจึงเป็นประเทศที่น่าจับมองในฐานะคู่ค้าที่มีศักยภาพของไทยในอนาคต และเป็นประตูการค้าที่สำคัญของไทยในการขยายตลาดในละตินอเมริกา
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น