ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศในปี 2556 นี้ คงต้องเผชิญกับภาวะหดตัวอย่างไม่อาจเลี่ยง โดยคาดว่าอาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ราว 1.3 ล้านคัน ลดลงจากปีก่อนที่สามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ถึงมากกว่า 1.43 ล้านคัน (ขยายตัวร้อยละ 80.4) โดยในปี 2556 นี้ คาดว่ารถยนต์เพื่อการพาณิชย์จะหดตัวสูงถึงกว่าร้อยละ 10 ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายรถยนต์พาณิชย์ลดลงจากร้อยละ 52 ของทั้งตลาดรวม เหลือร้อยละ 50 เท่ากันกับสัดส่วนของรถยนต์นั่ง โดยปัจจัยลบที่กระทบต่อตลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ ผลของโครงการรถยนต์คันแรกที่ดึงความต้องการซื้อล่วงหน้าในอนาคตมาใช้ และฐานที่สูงมากในปีที่แล้ว รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงชะลอตัว แต่แม้ยอดขายในปี 2556 นี้ จะหดตัวลงจากปีก่อนพอสมควร ทว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ราว 1.3 ล้านคันดังกล่าว เป็นตัวเลขที่ดีขึ้นกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยมองไว้ในช่วงกลางปีที่ประมาณ 1.22-1.29 ล้านคัน เนื่องมาจากปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกันของค่ายรถและสถาบันการเงินต่างๆ เช่น การนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดหลายรุ่น รวมถึงการระดมจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการที่ค่ายรถต่างนำเสนอโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมซึ่งคิดแล้วเทียบเคียงกับเงินคืนภาษีที่จะได้รับจากโครงการรถคันแรก ซึ่งดูแล้วผู้ซื้อน่าจะได้สิทธิประโยชน์ที่สูงกว่ารถยนต์ในโครงการรถคันแรกที่มีข้อจำกัดทั้งเรื่องขนาดเครื่องยนต์ ราคารถ และการต้องถือครองรถนานเกินกว่า 5 ปี
ส่วนปี 2557 นั้น คาดยังเผชิญปัจจัยลบต่างๆต่อเนื่อง โดยนอกเหนือจากการส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกที่หมดลงแล้ว ยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ได้แก่ ราคาสินค้าเกษตรที่อาจดีขึ้นไม่มากนัก ภาระหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่ยังสูงอยู่ ปัญหาการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปี 2557 น่าจะยังเป็นอีกปีที่ตลาดรถยนต์ต้องเผชิญกับภาวะหดตัวต่อเนื่องจากปี 2556 โดยคาดว่าจะมียอดขายรถยนต์ประมาณ 1.10 ถึง 1.17 ล้านคัน หรือหดตัวกว่าร้อยละ 10 ถึง 15 โดยในช่วงต้นปียอดขายรถยนต์น่าจะยังหดตัวมากจากฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปี 2556 และการที่ความต้องการซื้อรถถูกโครงการรถคันแรกดึงไปใช้แล้วล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดรถยนต์จะเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ และเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของปี การเปิดเสรีทางการค้าภายใต้กรอบ AEC ในปี 2558 คาดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นตลาด โดยเฉพาะในส่วนของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ จากการที่ภาคเอกชนอาจเริ่มมีการเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจเพื่อรับมือการการเปิดเสรีดับกล่าว ซึ่งคาดว่าการคมนาคมขนส่งสินค้าและบุคคลทางบกจะเพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงส่งสำคัญอื่นๆที่จะช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศในปีหน้านี้ คาดว่าจะมาจากการจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดของค่ายรถต่างๆ และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ดังเช่นในปี 2556 นี้ และหากการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนสามารถดำเนินได้ต่อเนื่องก็อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้มีการลงทุนในส่วนของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มากขึ้นได้บ้าง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น