ในปี 2560
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ไทยน่าจะมีการส่งออกเม็ดพลาสติกใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ราว 5.9 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าราว 7,950 - 8,150
ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 3.2 - 5.8%
เนื่องจากผลทางด้านราคาของเม็ดพลาสติกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องไปกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น (บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงครึ่งปีหลังที่เฉลี่ยราว 47 – 49 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ลดลงจากราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีแรกที่เฉลี่ยราว 51 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล แต่หากราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงครึ่งปีหลังลงไปต่ำกว่า 45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยก็อาจจะโตต่ำกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)
ทั้งนี้ ตลาด
CLMV
เป็นตลาดที่มีความน่าสนใจสำหรับผู้ส่งออกเม็ดพลาสติกไทย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2560 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยไปตลาด CLMV
จะสามารถขยายตัวได้ที่ 4 – 9%
เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยไปตลาดโลก โดยเติบโตไปตามเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ที่มีการขยายตัวในระดับสูง ทำให้มีรายได้ในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ รวมถึงสินค้าที่ต้องใช้เม็ดพลาสติกในการผลิต ประกอบกับยังต้องลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก ซึ่งจะทำให้มีความต้องการเม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้นตามมา ขณะที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในประเทศเหล่านี้ ยังไม่ได้พัฒนาไปมากนัก
อย่างไรก็ดี เม็ดพลาสติกจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่ง การแข่งขันจึงค่อนข้างรุนแรง ซึ่ง
CLMV
ก็มีการนำเข้าเม็ดพลาสติกจากหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน และไทย เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยอาจสร้างความแตกต่างด้วยการพัฒนาไปสู่การผลิตเม็ดพลาสติกวิศวกรรม โดยอาจวิจัยร่วมกับผู้ใช้เม็ดพลาสติกเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในตลาด CLMV
ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนในสัดส่วนที่สูงด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น