อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยมีฐานการบริโภคกว้างเป็นผลให้ในตลาดมีสินค้าหลากหลาย ทำให้เกิดการทดแทนกันได้ของผลิตภัณฑ์ ส่งผลต่อเนื่องให้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดและออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาเพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน
อย่างไรก็ดี แม้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มจะมีมูลค่าตลาดค่อนข้างสูงแต่ภาพด้านการเติบโตอาจจะไม่สดใสมากนัก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการจับจ่ายที่แปรผันตามกำลังซื้อของประชาชน กระแสการบริโภคของประชาชนที่ปรับเปลี่ยนตามเวลา ตลอดจนการออกกฎระเบียบควบคุมการบริโภคสินค้าบางประเภท นอกจากนี้ ล่าสุดกรมสรรพสามิตได้ประกาศอัตราภาษีใหม่เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งผลของภาษีน่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มยังมีภาพการเติบโตในกรอบจำกัด
จากการคำนวณของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบหลังการปรับภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มใหม่กับก่อนการปรับ ไวน์และชาพร้อมดื่มมีการเปลี่ยนแปลงของราคาขายปลีกมากที่สุด โดยมีการเพิ่มขึ้นของราคาขายปลีกใหม่ประมาณร้อยละ 21.1 และร้อยละ 7.5 ของราคาขายปลีกเดิม ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในสภาวะที่ครัวเรือนยังเผชิญแรงกดดันด้านกำลังซื้อ การที่ผู้ประกอบการจะส่งผ่านต้นทุนภาษีทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับขึ้นราคาขายปลีกอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม ดังนั้น คาดว่าผู้ประกอบการในตลาดคงมีการปรับตัวในหลายๆ แนวทาง เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิมไม่ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคทั้งจากการปรับปรุงภาษีครั้งนี้และจากปัจจัยแวดล้อมหลากหลายที่มากระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ และในท้ายที่สุด ผู้ประกอบการยังสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดของตน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น