Display mode (Doesn't show in master page preview)

25 พฤศจิกายน 2548

อุตสาหกรรม

อ้อยและน้ำตาลปี 49 : ต้นทุนเพิ่ม ... ผลผลิตลด

คะแนนเฉลี่ย

สถานการณ์อ้อยและน้ำตาลของไทยในฤดูการผลิตปี 2548/49 อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สู้แจ่มใสนัก แม้ว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกจะยังคงมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน แต่เนื่องจากผลผลิตอ้อยที่คาดว่าจะปรับลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 42.5 ล้านตันลดลงร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับปีการผลิตก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 47.8 ล้านตัน ในขณะเดียวกัน ทางด้านของต้นทุนการผลิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นทั้งในส่วนของต้นทุนค่าปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช รวมทั้งค่าขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เกษตรกรต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือให้ราคาอ้อยขั้นต้นปีการผลิต 2548/49 อยู่ในระดับ 850 บาทต่อตันเพื่อให้เหมาะสมกับต้นทุนการผลิต ในขณะที่ภาครัฐเองนั้นในเบื้องต้นได้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นออกมาอยู่ในระดับเพียง 770 บาทต่อตันซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าชาวไร่อ้อยเสนอถึง 80 บาทต่อตันอ้อยหรือคิดเป็นเงินรวมทั้งระบบจะตกประมาณ 3,400 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นภาระหนักของภาครัฐที่จะต้องหาหนทางแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลในปี 2549 ต่อไปก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นระหว่างชาวไร่อ้อยและภาครัฐ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกเหนือจากปัญหาทางด้านผลผลิตอ้อยและน้ำตาลที่ตกต่ำแล้ว อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในฤดูการผลิตปี 2548/49 ยังต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวไร่อ้อยกับภาครัฐทางด้านราคาอ้อยขั้นต้นที่ภาครัฐได้กำหนดไว้ที่ระดับ 770 บาทต่อตันอ้อย ซึ่งแม้ว่าราคาอ้อยดังกล่าวจะสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นปีก่อนๆซึ่งอยู่ที่ระดับ 465 บาทต่อตันอ้อยในปีการผลิต 2546/47 และ 620 บาทต่อตันอ้อยในปีการผลิต 2547/48 รวมทั้งราคาดังกล่าวยังถือเป็นราคาอ้อยขั้นต้นที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปีนับตั้งแต่มีการออกพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา แต่เนื่องจากชาวไร่อ้อยเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไปไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ค่าบำรุงรักษาอ้อย และที่สำคัญได้แก่ต้นทุนค่าขนส่งอ้อยจากพื้นที่เพาะปลูกเข้าโรงงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับสูงขึ้น ดังนั้นชาวไร่อ้อยจึงเห็นว่าราคาอ้อยขั้นต้นที่เหมาะสมของปีการผลิต 2548/49 ควรจะอยู่ที่ระดับ 850 บาทต่อตันจึงสอดคล้องกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความคิดเห็นว่า ราคาอ้อยขั้นต้นในปีการผลิต 2548/49 ที่ชาวไร่อ้อยเสนอมาในระดับ 850 บาทต่อตันอ้อยนั้นเป็นระดับราคาที่สร้างความหนักใจให้กับภาครัฐเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยที่จะทำให้ราคาอ้อยขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับที่ชาวไร่อ้อยต้องการได้นั้นจะเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณีด้วยกัน ซึ่งแต่ละกรณีก็มีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมากโดยสรุปได้ดังนี้

กรณีที่1.การขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ ปัจจุบันการบริโภคน้ำตาลภายในประเทศของภาคประชาชนและอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านตัน ทั้งนี้หากต้องการให้ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 850 บาทต่อตันจะต้องขึ้นราคาน้ำตาลในประเทศอีกประมาณ 2-3 บาท จากราคาขายปลีกน้ำตาลปัจจุบันซึ่งจำหน่ายอยู่ที่ 13.25 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับน้ำตาลทรายขาวและ 14.25 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามสำหรับท่าทีของภาครัฐนั้น กระทรวงพาณิชย์ซึ่งรับผิดชอบทางด้านการควบคุมราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศมีความเห็นว่า ยังไม่ควรมีการเคลื่อนไหวปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลในช่วงเวลานี้ ทั้งนี้เนื่องจากจะเป็นภาระต่อรายจ่ายของประชาชนและซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

กรณีที่2.ราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นสูง รายได้ของระบบอ้อยและน้ำตาลจะมาจากสองส่วนใหญ่ๆได้แก่รายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลในประเทศที่มีประมาณปีละ 24,000 ล้านบาทและรายได้จากการส่งออกประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท ดังนั้นราคาน้ำตาลตลาดโลกจึงมีอิทธิพลต่อราคาอ้อยในประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจุบันราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ทั้งทางด้านปริมาณความต้องการบริโภคน้ำตาลของโลกที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจูงใจให้บราซิลมีการนำอ้อยมาใช้ผลิตเป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่องค์การการค้าโลก(WTO)ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปลดอุดหนุนการส่งออกน้ำตาลโดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2549 เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนช่วยผลักดันให้ราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การที่ราคาอ้อยในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 850 บาทต่อตันได้นั้นราคาน้ำตาลตลาดโลกต้องปรับเพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 15-16 เซนต์ต่อปอนด์ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับที่มีการประเมินว่าราคาน้ำตาลตลาดโลกปี 2549 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 12-13 เซนต์ต่อปอนด์เท่านั้น

กรณีที่3.การกู้เงินมาอุดหนุนราคาอ้อย หากภาครัฐต้องการเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นให้ได้ 850 บาทต่อตันอ้อยโดยไม่ขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ ก็จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาพยุงราคาอ้อย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีภาระหนี้เงินกู้เดิมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งกู้มาเพื่อช่วย เหลือชาวไร่อ้อยในช่วงราคาอ้อยตกต่ำฤดูการผลิตปี 2541/42-2542/43 จำนวน 9,267ล้านบาท ฤดูการผลิตปี 2545/46 อีก 5,920 ล้านบาท และฤดูการผลิตปี 2546/47 จำนวน 5,387 ล้านบาทรวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องชำระในช่วงปี 2548-2555 ทั้งสิ้นประมาณ 17,620 ล้านบาท ดังนั้นหากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะขอกู้เงินเพิ่มค่าอ้อยอีก 3,400 ล้านบาท(คิดจากปริมาณอ้อย 42.5 ล้านตันเพิ่มขึ้นตันละ 80 บาท)จึงเป็นไปได้ยากเนื่องจากจะทำให้หนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 21,000 ล้านบาท ทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขาดความมั่นใจที่จะปล่อยกู้ใหม่ให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพราะปัจจุบันหนี้เดิมที่มีอยู่ก็มากอยู่แล้ว

กล่าวโดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในระยะสั้นนี้ภาครัฐมีภาระที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหาราคาอ้อยขั้นต้นปีการผลิต 2548/49 ที่ชาวไร่อ้อยเห็นว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันของกลุ่มชาวไร่อ้อยที่อาจจะออกมาเคลื่อนไหวเหมือนเช่นปีก่อนๆที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันภาครัฐก็มีภาระในระยะยาวที่จะหาหนทางเพิ่มผลผลิตอ้อยให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตอ้อยของไทยที่ลดต่ำลง 3 ปีติดต่อกันเสมือนเป็นการส่งสัญญานให้เห็นว่าชาวไร่อ้อยเริ่มขาดความมั่นใจทางด้านรายได้จากการเพาะปลูก และหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อเถียรภาพของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั้งทางด้านการผลิตและการจำหน่ายน้ำตาล ดังนั้นภาครัฐจึงควรเร่งหาหนทางที่จะทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับผลตอบแทนการเพาะปลูกที่คุ้มกับต้นทุนการผลิตตามที่เป็นจริงทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการเพิ่มผลผลิตอ้อยให้อยู่ในระดับเหมาะสมเพียงพอกับความต้องการทั้งตลาดในและต่างประเทศ

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


อุตสาหกรรม