Display mode (Doesn't show in master page preview)

13 ตุลาคม 2549

เกษตรกรรม

น้ำท่วมปี’49 : ภาคเกษตรกรรมสูญเสีย 1,600 ล้านบาท (มองเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1876)

คะแนนเฉลี่ย
หลังจากที่ในช่วงปลายปี 2547ถึงกลางปี 2548 ไทยประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงจนเกิดปัญหาน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการโดยเฉพาะเพื่อการเพาะปลูก ทำให้ในช่วงฤดูแล้งปี 2549 หรือในช่วงกลางปี 2549 นี้มีการวางแผนการใช้น้ำเพื่อที่จะให้มีน้ำเพียงพอจนถึงช่วงฤดูฝน แต่ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมามีภาวะฝนตกชุกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ปริมาณน้ำที่เคยคาดว่าจะไม่เพียงพอสำหรับฤดูการเพาะปลูกปี 2549/50 กลับมีมากเกินความต้องการในบางพื้นที่ และสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมอย่างมาก โดยกระทรวงเกษตรฯประเมินความเสียหายเฉพาะในวันที่ 1 สิงหาคม-10 ตุลาคม 2549 ไว้ที่ 927.49 ล้านบาท ซึ่งความเสียหายที่มีการรายงานกันในขณะนี้ยังเป็นเพียงความเสียหายในเบื้องต้นเท่านั้น คาดการณ์ว่าความเสียหายจากน้ำท่วมในปีนี้จะใกล้เคียงในปี 2547 คืออยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากคาดการณ์ว่ายังคงมีรายงานความเสียหายเข้ามาเพิ่มเติม ในปัจจุบันการประเมินความเสียหายนั้นยังไม่ครอบคลุมทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยในบางพื้นที่เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงเกษตรฯยังไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายได้ และในบางจังหวัดก็เพิ่งจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม รวมทั้งยังคาดว่ามีอีกหลายจังหวัดที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในระยะต่อไป โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นผลมาจากการระบายน้ำของจังหวัดที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมทางภาคเหนือ
นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะน้ำท่วมดังนี้
1.ราคาสินค้าเกษตร ในระยะสั้นราคาสินค้าเกษตรสำคัญมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง แต่คาดว่าจะเป็นช่วงสั้นเท่านั้น กล่าวคือ ราคาข้าวเปลือกโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงนี้ลดต่ำลงเหลือตันละ 3,300-3,900 บาท เนื่องจากข้าวมีความชื้นสูง และหมดช่วงการรับจำนำ และไม่เกิดการแข่งขันรับซื้อข้าวจากโรงสี เนื่องจากหลายแห่งปิดกิจการจากการประสบปัญหาขาดทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันสถานการณ์ราคามันสำปะหลังที่ลดต่ำลงเช่นกันจากปัญหาความชื้น อย่างไรก็ตาม ข่าวการเกิดภาวะน้ำท่วมและความเสียหายของภาคเกษตรกรรม ทำให้ผู้ซื้อสินค้าเกษตรของไทยในต่างประเทศเริ่มพิจารณาปรับแนวทางในการซื้อสินค้าเกษตรของไทย เนื่องจากในปีนี้ประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรกรรมสำคัญต่างประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ทำให้คาดว่าปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรในตลาดโลกอาจจะมีแนวโน้มลดลง ส่วนราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้คือ ราคาสินค้าประเภทพืชผักโดยเฉพาะผักกินใบ เนื่องจากบางส่วนได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมและฝนตกชุก รวมทั้งยังมีปัจจัยหนุนคือ ใกล้ช่วงเทศกาลกินเจในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีความต้องการบริโภคผักเพิ่มขึ้น
คาดว่าในระยะยาวราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูการผลิตราคาสินค้าเกษตรจะปรับตัวลดลง พื้นที่ที่เสียหายเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการในการแจกเมล็ดพันธุ์และพันธุ์สัตว์เพื่อผลิตทดแทนแล้ว เพียงแต่ผลผลิตอาจจะออกสู่ตลาดล่าช้ากว่าฤดูกาลปกติประมาณ 1-2 เดือน ส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรไม่กระจุกตัวอยู่ในช่วงปลายปี แต่จะกระจายตัวไปออกผลผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องพิจารณาร่วมด้วยคือ นโยบายการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลยังไม่ประกาศราคาแทรกแซงการรับจำนำข้าว โดยถ้ารัฐบาลประกาศราคารับจำนำอยู่ในเกณฑ์สูง ก็จะส่งผลทำให้ราคาข้าวในประเทศอยู่ในเกณฑ์สูง และผู้ส่งออกจะประสบปัญหาการแข่งขัน
2.สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม สถานการณ์อุทกภัยในปี 2549ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหลายสินค้า ดังนี้
-ข้าว ภาวะน้ำท่วมในช่วงปลูกข้าวนาปีในปี 2549 แยกผลกระทบออกเป็นผลกระทบต่อพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับพื้นที่ปลูกข้าวในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง กล่าวคือภาวะน้ำท่วมปี 2549 ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากนัก คาดว่าผลผลิตข้าวหอมมะลิในปี 2549/50 ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแหล่งปลูกสำคัญจะเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอในการเพาะปลูก โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกข้าวจากพื้นที่นาดอน และนอกเขตชลประทาน ซึ่งน่าจะได้รับผลดีอันเนื่องจากฝนตกชุกทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอในการเพาะปลูก แม้ว่าพื้นที่นาในเขตที่ลุ่มจะได้รับความเสียหายบ้าง นอกจากนี้คาดว่าราคาข้าวยังอยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้ชาวนาเพิ่มผลผลิต ส่วนพื้นที่ปลูกข้าวในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางคาดว่าปริมาณข้าวลดลงเนื่องจากความเสียหายจากภาวะน้ำท่วม โดยส่วนใหญ่จะเป็นข้าวขาว ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณข้าวขาวออกสู่ตลาดลดลง และกระจายผลผลิตไปออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกปี 2550 ทำให้ราคาข้าวขาวมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปี 2549 อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงฤดูแล้งปี 2550 ชาวนาในภาคกลางจะขยายพื้นที่ปลูกข้าว ทดแทนพื้นที่ข้าวนาปีที่ประสบความเสียหายจากภาวะน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังในปี 2550 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าปริมาณข้าวนาปรังออกสู่ตลาดมากจะส่งผลต่อราคาข้าวในช่วงครึ่งหลังปี 2550
-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กระทรวงเกษตรฯคาดว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2549/50 มีประมาณ 3.65 ล้านตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 6.0 เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนเปลี่ยนไปปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลและปลูกอ้อยโรงงานที่ได้ราคาดีกว่า ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นต่อเนื่องจากในปี 2549 ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นภาวะน้ำท่วมในปี 2549 ส่งผลกระทบซ้ำเติมทำให้อาจเกิดภาวะขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และราคาพุ่งสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงไก่เนื้อ โดยต้นทุนการเลี้ยงจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ราคาไก่เนื้อในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเนื้อไก่ในประเทศแล้ว ยังส่งผลต่อการแข่งขันในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เนื้ออีกด้วย
-ไม้ผลไม้ยืนต้น ภาวะน้ำท่วมส่งกระทบต่อไม้ผลไม้ยืนต้น 2 ลักษณะคือ ยืนต้นตายเนื่องจากน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน และต้นโทรมให้ผลผลิตได้ลดลง ซึ่งทำให้ปริมาณผลไม้ที่จะเข้าสู่ตลาดมีลดลง ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาผลไม้ในช่วงกลางปี 2550 เนื่องจากไม้ผลที่ได้รับผลกระทบในภาคเหนือและภาคตะวันออกนั้นยังไม่ใช่ฤดูการผลิต แต่จะส่งผลกระทบต่อการให้ผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงไตรมาสที่สองปี 2550 นอกจากนี้เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นในการปลูกทดแทนและการบำรุงต้นให้ฟื้นกลับมาจากภาวะน้ำท่วม
-พืชผัก ภาวะน้ำท่วมสร้างความเสียหายให้กับพืชผัก เนื่องจากภาคเหนือและภาคกลางเป็นแหล่งปลูกผักป้อนตลาดทั่วประเทศกอปรกับใกล้ช่วงเทศกาลกินเจ ส่งผลให้ราคาผักมีแนวโน้มสูงขึ้น มีแนวโน้มว่าในปีนี้ราคาผักจะสูงมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ด้วย อย่างไรก็ตามเกษตรกรที่ปลูกผักในจังหวัดนครปฐมและปทุมธานีได้รับผลดี เนื่องกจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมและสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาสูงขึ้นด้วย
-เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด แหล่งเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดที่สำคัญของประเทศอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะจังหวัดนครสวรรค์ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปริมาณปลาน้ำจืดในประเทศ และทำให้ราคาปลาน้ำจืดมีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลดี เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมมากนัก

-อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในปี 2549 ส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปผักและผลไม้ โดยได้รับผลกระทบจากปริมาณวัตถุดิบป้อนโรงงานลดลง และโรงงานได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วม ทำให้ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ นอกจากนี้คาดว่าความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง เนื่องจากการระบายน้ำลงมาจากภาคเหนือ โดยอุตสาหกรรมเกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบคือ อุตสาหกรรมแปรรูปปลาน้ำจืด ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และปลายข้าวรวมทั้งรำข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


เกษตรกรรม