หลังจากที่พรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ครองเสียงข้างมากของทั้งสองสภาสหรัฐฯ ได้ส่งผลต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ โดยพรรคเดโมแครตประกาศทบทวนนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเน้นเรื่องการสร้างงาน รวมถึงประเด็นด้านมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ดังนั้น ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศไทย มีแนวโน้มประสบความลำบากมากขึ้นในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จากกฎระเบียบด้านมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ อำนาจการเจรจาเปิดเสรีทางการค้าของฝ่ายบริหารสหรัฐฯ (Fast Track) ที่หมดอายุลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 และมีแนวโน้มที่จะไม่รับการต่ออายุในทันที อาจส่งผลให้การเจรจาเปิดเสรีการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา รวมทั้งประเทศไทย ต้องล่าช้าออกไป ถือเป็นปัจจัยลบอีกประการหนึ่งต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ที่เดิมคาดว่า การจัดทำความตกลง FTA ไทย-สหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยที่ช่วยให้ขยายตลาดสินค้าในสหรัฐฯ ได้มากขึ้น จากการลดภาษีศุลกากรภายใต้ FTA นอกเหนือจากปัจจัยลบต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในปีนี้ ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นเป็นประวัติการณ์ และการที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กับสินค้าส่งออกของไทย 3 รายการ ในวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้แก่ เครื่องประดับอัญมณีทำจากทอง เม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต และเครื่องรับโทรทัศน์สีจอแบน ทำให้สินค้าส่งออกของไทย 3 รายการนี้ สูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ เพราะต้องกลับไปเสียภาษีศุลกากรเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 5.5% 6.5% และ 3.9% ตามลำดับ
ผู้ประกอบการไทยควรลดการพึ่งพิงการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และหันมาเน้นการส่งออกไปยังตลาดใหม่อื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ไทยจัดทำความตกลง FTA ด้วยและเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน และอินเดีย รวมทั้งญี่ปุ่น ซึ่งความตกลง FTA ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) จะเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2550 นี้ โดยสินค้าส่งออกของไทยไปประเทศเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากร รวมถึงการแสวงหาลู่ทางการส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง เช่น ประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งได้รับผลดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยและผู้ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ควรพัฒนาการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานตามกฎระเบียบด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้าจากการกำหนดมาตรฐานด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมในระดับสูงของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น