นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ระดับ 33.70 บาท/ดอลลาร์ฯ เป็นระดับที่แข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2549 นอกจากนี้ยังเป็นอัตราที่สูงกว่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งขันสำคัญในการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น หยวนจีนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 3.2 รูเปียอินโดนีเซียที่อ่อนค่าลงประมาณร้อยละ 1.6 ริงกิตมาเลเซียแข็งค่าขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 เป็นต้น
ผลกระทบของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อภาคเกษตรกรรมนั้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสินค้า โดยปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือ สัดส่วนการพึ่งพิงวัตถุดิบในประเทศ สัดส่วนการพึ่งพิงตลาดส่งออก และอัตราการทำกำไรของผู้ส่งออก ดังนั้นผลกระทบนั้นมีตั้งแต่น้อย ปานกลางไปจนถึงมาก อย่างไรก็ตามนับว่ายังเป็นโชคดีที่ในปี 2550 นั้นความต้องการสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของโลกประสบปัญหาสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยและปัญหาภัยธรรมชาติ ตลอดจนโรคและแมลงศัตรู ดังนั้นการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2550 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2551 เงื่อนไขที่เอื้อต่อการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรจะหมดไป โดยการแข่งขันในตลาดโลกจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากประเทศคู่แข่งสำคัญในการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยจะหันมาขยายการผลิต ดังนั้นถ้าผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทอยู่เช่นเดียวกับในปีนี้ ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยก็จะตกอยู่ในฐานะที่ลำบากกว่าในปีนี้ โดยในที่สุดผู้ที่จะได้รับผลกระทบต่อเนื่องคือ โรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรและเกษตรกร
แนวทางที่ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยเร่งดำเนินการเพื่อลดผลกระทบคือ การกระจายสกุลเงินในการส่งออกเพื่อลดการพึ่งพิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ กระจายฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศ หันมาขยายตลาดในประเทศ และการกระจายธุรกรรมโดยการหันมาเพิ่มการซื้อมาและขายไปให้กับประเทศที่สาม ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น