มาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่เพิ่งออกมา นับว่าส่งผลกระตุ้นตลาดรถยนต์ BEV ได้อย่างมาก ทำให้การแข่งขันเริ่มคึกคักขึ้นทันทีนำโดยค่ายรถจีนที่อาศัยจังหวะค่ายรถกระแสหลักยังไม่พร้อมทำตลาดเร่งนำหน้าดึงส่วนแบ่งลูกค้ามาก่อน ด้วยจุดแข็งสำคัญคือ การเลือกผลิตภัณฑ์บุกตลาดและการตั้งราคาที่ดึงดูดใจผู้ซื้อในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามีโอกาสที่ค่ายรถจีนอาจจะชิงส่วนแบ่งตลาดรวมได้ถึง 80% จากยอดขายรถยนต์ BEV ที่คาดว่าจะทำได้เกินกว่า 10,000 คันในปี 2565 นี้ ขณะที่ค่ายตะวันตกมีส่วนแบ่งตามมาเป็นอันดับสองจากปัจจัยบวกด้านฐานผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในประเทศ ส่วนค่ายญี่ปุ่น เนื่องจากเข้ามาทำตลาดช้ากว่าจึงมีช่วงเวลาสั้นกว่าในการชิงส่วนแบ่งตลาด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนตลาดรถยนต์รวมยังคงมีประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่น่ากังวล เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดในเบื้องต้นว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศโดยรวมของไทยปี 2565 นี้ อาจปิดที่ราว 825,000 คัน (+8.7% (YoY)) ทว่าหากสถานการณ์สงครามเลวร้ายลงอาจส่งผลต่อยอดขายที่ลดลงมาเหลือ 800,000 คัน (+5.4% (YoY)) ได้ แต่ในทางตรงข้ามหากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนคลี่คลายได้เร็ว ก็มีโอกาสที่จะทำได้สูงกว่าตัวเลขที่คาดไว้เช่นกัน โดยในปีนี้รถปิกอัพมีโอกาสที่จะทำตัวเลขยอดขายได้สูงกว่ารถยนต์นั่ง โดยนอกจากจะเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนที่น้อยกว่าแล้วยังได้รับอานิสงส์จากมาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของรัฐบาล
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น