Display mode (Doesn't show in master page preview)

30 ตุลาคม 2566

เกษตรกรรม

จีนนำเข้าธัญพืชลดลง กดดันการส่งออกมันสำปะหลังและข้าวไทยไปจีนให้หดตัวในปี 2566 และอาจต่อเนื่องถึงปี 2567 (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 3443)

คะแนนเฉลี่ย

        จีนนำเข้าธัญพืชลดลงในปี 2566 ตามเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้าซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าเติบโตชะลอลง ผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกที่ลดลงจากผลของฐานที่พุ่งสูงในปีก่อน และการระบายสต็อกธัญพืชและพืชอาหาร (Destocking) ของจีนจากที่เร่งสะสมไว้ในระดับสูงเพื่อความมั่นคงด้านอาหารในช่วงโควิด กดดันคำสั่งซื้อใหม่จากจีน โดยที่จีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของไทย ทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงกดดันการส่งออกมันสำปะหลังและข้าวไทยไปจีนให้ลดลง
        ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2566 แม้จีนน่าจะมีความต้องการธัญพืชเพื่อผลิตป้อนอุปสงค์ในประเทศช่วงเทศกาลปลายปี และเพื่อฟื้นฟูจากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายมณฑล แต่อุปสงค์โดยรวมก็น่าจะยังอยู่ในภาวะที่อ่อนแรงอยู่ ประกอบกับเอลนีโญที่อาจสร้างความเสียหายบางส่วนต่อผลผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 ทำให้การส่งออกมันสำปะหลังและข้าวไทยไปจีนยังคงเผชิญความท้าทาย สำหรับภาพรวมทั้งปี 2566 คาดว่า มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไทยไปจีนอาจหดตัว 15.0% หรืออยู่ที่ 2,429 ล้านดอลลาร์ และมูลค่าส่งออกข้าวไทยไปจีนอาจหดตัว 28.5% หรืออยู่ที่ 276 ล้านดอลลาร์  
        ระยะถัดไป การส่งออกมันสำปะหลังและข้าวไทยไปจีน คงเผชิญความท้าทายมากขึ้นในระยะสั้น-กลาง จากแผนพัฒนาเกษตรของจีนที่ทยอยยกระดับการเพิ่มผลผลิตในประเทศเป็นสำคัญ โดยเฉพาะถั่วเหลืองและข้าวโพด ขณะที่การบริโภคอาจเพิ่มไม่มากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่คงต้องใช้เวลาและอาจไม่กลับไปเติบโตเหมือนเดิมเช่นในช่วงก่อนโควิด จะฉุดการนำเข้าธัญพืชและพืชอาหารของจีนให้ทยอยลดลง โดยที่มันสำปะหลัง คงได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากไทยส่งออกไปจีนสูง และเป็นสินค้าทดแทนของข้าวโพดและถั่วเหลืองที่จีนเร่งผลิต โดยคาดว่าในปี 2567 มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังไทยไปจีนอาจหดตัวที่ 4.5%-8.6% ขณะที่ข้าว คงมีผลกระทบแต่ในวงจำกัดกว่า เนื่องจากไทยส่งออกข้าวไปจีนไม่มากนัก ซึ่งผลกระทบคงมาจากแนวโน้มเอลนีโญที่รุนแรงขึ้นเป็นสำคัญ จนสร้างความเสียหายต่อผลผลิตข้าว และทำให้มีปริมาณการส่งออกข้าวไปจีนที่ลดลง โดยคาดว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปจีนอาจหดตัวที่ 4.0%-7.6%
        ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นระยะข้างหน้า ผู้ส่งออกควรหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม เพื่อทดแทนตลาดจีนที่ไทยพึ่งพาสูง เช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น เป็นต้น ขณะที่ภาคการผลิต ควรมุ่งไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นคุณภาพ/สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อย่างเทรนด์สุขภาพที่เติบโตดี เช่น ข้าวออร์แกนิก แป้งปลอดกลูเตน เป็นต้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม