วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลช่วยยกระดับความน่าสนใจในการลงทุนโซลาร์รูฟท็อปในภาคธุรกิจเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าพร้อมทั้งตอบสนองกระแสพลังงานสะอาด แม้ว่าในปัจจุบันราคาแผงโซลาร์กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัญหาด้านอุปทานวัตถุดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ แรงหนุนการเติบโตของตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคธุรกิจในปี 2565 คาดว่าจะมาจากกลุ่มธุรกิจที่มีสัดส่วนต้นทุนการดำเนินธุรกิจจากค่าไฟที่สูง ทั้งธุรกิจในภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตซีเมนต์และเหล็ก และธุรกิจในภาคบริการ เช่น โกดังสินค้า โรงแรม ค้าปลีกอย่างห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ที่เน้นให้ความสำคัญกับการประหยัดต้นทุนและความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะกลางถึงยาว โดยที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจเฉพาะหน้าจำกัด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2565 ตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคธุรกิจน่าจะขยายตัวสู่ระดับ 125.9 เมกะวัตต์ หรือเติบโตราวร้อยละ 54.2 จากปีก่อน ในขณะที่ค่าไฟที่น่าจะประหยัดได้โดยเฉลี่ยของภาคธุรกิจหากลงทุนใช้งานโซลาร์รูฟท็อปในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 เนื่องจากค่าไฟเฉลี่ยของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ซึ่งค่าไฟที่ประหยัดได้ดังกล่าวเป็นการประเมินเบื้องต้นจากภาพรวมของภาคธุรกิจ ในขณะที่ค่าไฟที่จะประหยัดได้จริงของแต่ละผู้ประกอบการจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ ปริมาณการใช้ไฟ เงินลงทุนในการติดตั้ง งบการเงินของกิจการ เป็นต้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น