ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมา ได้เริ่มมีการงดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastic bag) ภายใต้กรอบการดำเนินงานของแผนจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 โดยกรมควบคุมมลพิษ เบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะทำให้ปริมาณถุงพลาสติกหูหิ้วดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมถุงพลาสติก และเกิดโอกาสของธุรกิจสินค้าทดแทน
ที่ผ่านมา ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วประเภทดังกล่าวเกิดขึ้นราว 45,000 ล้านใบ/ปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในระยะแรกถุงพลาสติกจะลดลงอย่างน้อยราวร้อยละ 29 หรือประมาณ 13,000 ล้านใบ จากแหล่งห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ ตลาดสดหัวเมืองและร้านขายของชำบางพื้นที่ และปริมาณจะลดลงได้ถึงอย่างน้อยร้อยละ 64 หรือ 29,000 ล้านใบ ภายในปี 2565 จากความร่วมมือจากกลุ่มตลาดสด เอกชน แผงลอย และร้านขายของชำที่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น
การลดลงของปริมาณถุงพลาสติกดังกล่าวได้กระทบถึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานทั้งรายใหญ่และ SMEs ที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งภาครัฐควรมีส่วนในการออกมาตรการสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทุน การตลาด หรือเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี การที่ถุงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในปี 2563 ภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการลดใช้ถุงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งยังคงเป็นบวกราว 2,191 ล้านบาท เนื่องจากเกิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับถุงทดแทน โดยเฉพาะถุงพลาสติกชนิดหนา ถุงผ้าพลาสติก และถุงผ้า ที่จะมีความต้องการราว 410 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,630 ล้านบาท โดยในปี 2565 ภาพรวมทางเศรษฐกิจของตลาดถุงหูหิ้วจะเริ่มมีมูลค่าเป็นลบราว 295 ล้านบาท จากปัจจัยด้านคุณสมบัติของถุงทดแทนที่มีอายุการใช้งานที่นานจึงมีความถี่ในการซื้อซ้ำลดลง ทั้งนี้ แม้ว่าผลสุทธิของตลาดถุงหูหิ้วจะติดลบในระยะข้างหน้า แต่ประเด็นเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมที่ได้นั้นไม่อาจประเมินเป็นมูลค่าได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น