จากการที่ไทยมีการบริโภคน้ำและใช้น้ำในปริมาณมากเพื่อผลิตสินค้าโดยเฉพาะในภาคเกษตร ขณะที่ปริมาณน้ำก็มีแนวโน้มลดลงจากสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น (Climate Change) ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า Water Footprint จะเป็นเทรนด์การผลิตสินค้าของโลกเรื่องหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงในการเข้ามามีบทบาทในภาคเกษตรมากขึ้นในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายประเทศต่างให้ความสำคัญและตระหนักมากขึ้นในแง่ของการใช้ทรัพยากรน้ำที่มีอยู่จำกัดอย่างยั่งยืน (Sustainable) และประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรอาจมีแนวโน้มกดดันให้มีการประกาศนำค่า Water Footprint มาใช้เป็นมาตรฐานบังคับให้ประเทศผู้ผลิตต้องดำเนินการไม่ให้สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าว และอาจหยิบยกมาใช้เป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (Non-Tariff Barriers: NTB) มากขึ้นในระยะข้างหน้า
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จะเป็นแนวทางที่ดีมากขึ้นหากไทยสามารถเตรียมความพร้อมทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ เพื่อรับมือกับมาตรฐานดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การมีฉลาก Water Footprint บนผลิตภัณฑ์จะยังเป็นการสร้างจุดเด่นและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าในแง่ของความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ และยังเป็นการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาวอีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock.com
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น