ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 นั้น อาจต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งปัจจัยภายนอก อาทิ แนวโน้มการชะลอตัวของภาคส่งออกตามการชะลอลงของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป แรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงมีอยู่ต่อไปอย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ตามกระแสการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตลอดจนความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และปัจจัยภายใน อาทิ การเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ตลอดจนเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการภาครัฐหลังการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศให้กลับมาเป็นปัจจัยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 อาจเป็นปัจจัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้น้ำหนักความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็จะหมายความว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องดำเนินนโยบายการเงินไปในแนวทางที่เสริมสร้างเสถียรภาพของราคาเป็นสำคัญ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายการเงินอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เด่นชัดมากนักในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ดังนั้นความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจึงมุ่งประเด็นไปยังนโยบายการคลังของภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว โดยมีการขาดดุลงบประมาณ(ในปี 2551) ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2550 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายทางการคลังจะเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 ที่ต้องการแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายในประเทศ ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของภาคส่งออก แต่ก็มีประเด็นที่ต้องพึงระวัง 2 ประการ คือ ประการแรก การขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องคำนึงการรักษากรอบวินัยทางการคลังที่กระทรวงการคลังกำหนด และประการที่สอง รัฐบาลควรจะตระหนักว่า แนวทางการขาดดุลงบประมาณนั้น แม้จะมีความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่าการใช้จ่ายของภาคเอกชน (การบริโภคและการลงทุน) ซึ่งนั่นหมายความว่า ภาระกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งของรัฐ ก็คือ ภาครัฐต้องมีบทบาทในการฟื้นคืนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้กลับคืนมาโดยเร็ว เพื่อช่วยให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนกลับคืนมาเป็นตัวจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น