แม้ว่าปัจจุบันของขวัญจะยังคงเป็นสินค้าที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมเลือกซื้อเพื่อส่งมอบความสุขให้แก่กันและกันในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ขณะเดียวกันการจับจ่ายซื้อของขวัญปีใหม่ของคนกรุงเทพฯในปีนี้ก็เป็นไปในทิศทางที่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายค่อนข้างชัดเจน ซึ่งผลจากการสำรวจพฤติกรรมการฉลองปีใหม่และการซื้อของขวัญต้อนรับปีใหม่ปี 2550 ของคนกรุงเทพฯ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พฤศจิกายน 2550 ได้พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่สัดส่วนร้อยละ 75.6 ต่างยอมรับว่าแผนการเฉลิมฉลองปีใหม่ในปีนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และรายการจับจ่ายใช้สอยที่คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่เลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายลงมากที่สุดสำหรับวาระส่งท้ายปีเก่าปี 2550 ต้อนรับปี 2551 ในครั้งนี้ก็คือค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อของขวัญปีใหม่ตามมาด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสังสรรค์ และการลดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวโดยเลือกที่จะเที่ยวในระยะทางใกล้กรุงเทพฯมากขึ้นหรือเลือกที่จะพักในแหล่งท่องเที่ยวที่มีราคาไม่แพงมากนักแทน ซึ่งสอดคล้องกับสัดส่วนของกลุ่มที่วางแผนจะซื้อของขวัญปีใหม่ในปีนี้ที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตัดสินใจซื้อของขวัญปีใหม่ต้อนรับปี 2551 นั้นมีสัดส่วนลดลง รวมถึงงบประมาณของกลุ่มที่วางแผนจะซื้อของขวัญปีใหม่เองก็มีการตั้งงบประมาณในการซื้อของขวัญปีใหม่ลดลงเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งปัจจัยด้านราคาก็ยังเป็นปัจจัยแรกในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อของขวัญปีใหม่ด้วย แล้วจึงหันมาพิจารณาชนิดของสินค้าและคุณภาพของสินค้า ซึ่งแตกต่างจากปีก่อนที่ปัจจัยราคาเป็นปัจจัยอันดับสองรองจากปัจจัยคุณภาพสินค้า แต่ขณะเดียวกันก็มีบางกลุ่มที่มีงบประมาณในการซื้อของขวัญปีใหม่เพิ่มขึ้นทั้งในลักษณะของการเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาต่อบุคคลสูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทขึ้นไป รวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อของขวัญในปีก่อนและหันมาซื้อของขวัญในปีนี้ ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี หรือกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มมีเพื่อนใหม่ และกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงานและมีรายได้เป็นของตนเอง ประกอบกับราคาสินค้าหลายรายการมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินหมุนเวียนสำหรับการจับจ่ายซื้อของขวัญปีใหม่ต้อนรับปี 2551 ของคนกรุงเทพฯน่าจะมีมูลค่าประมาณ 5,000-5,200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งจากปีก่อนที่ร้อยละ 5-10 ซึ่งชะลอตัวลงจากปีก่อนที่เติบโตร้อยละ 12-15
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น