Display mode (Doesn't show in master page preview)

2 พฤษภาคม 2551

เศรษฐกิจไทย

เงินเฟ้อพุ่ง … ทางเลือกด้านนโยบายของภาครัฐ (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2151)

คะแนนเฉลี่ย

จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI Inflation) ล่าสุดในเดือนเมษายน 2551 ที่มีระดับสูงถึงร้อยละ 6.2 (Year-on-Year) สูงที่สุดในรอบ 23 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5.3 กอปรกับค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ที่ร้อยละ 5.3 ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2551 สะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาที่ปรับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ปลายปี 2550 จนถึงปัจจุบัน การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าในหมวดอาหารต่างๆ ไล่มาตั้งแต่น้ำมันปาล์ม เนื้อหมู และข้าว ซึ่งส่งผลกระทบตามมาให้ราคาสินค้าและบริการในหมวดต่างๆ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างกว้างขวาง

แม้จะเป็นที่คาดหวังกันว่า ภาวะราคาสินค้าแพงอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ และน่าที่จะบรรเทาเบาบางลงได้ โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันตลาดโลกไม่ปรับตัวสูงขึ้นอีกเมื่อผ่านพ้นฤดูท่องเที่ยวทางซีกโลกตะวันตกและจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักของโลก รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าเกษตรที่อาจจะถูกจำกัดไว้ด้วยปริมาณอุปทานที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นในระยะต่อไป ตลอดจนการฟื้นตัวของเงินดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานของราคาสินค้าเกษตรต่างๆ ดังเช่นที่เริ่มจะเห็นสัญญาณบ้างแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ทางการไทยควรที่จะมีการประเมินสถานการณ์และวางแผนเพื่อเตรียมการรับมือล่วงหน้าสำหรับกรณีเลวร้ายที่ราคาสินค้าและบริการอาจไม่ชะลอตัวลงมาตามที่คาดหวัง เพื่อที่จะสามารถบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะต่อภาคธุรกิจและประชาชนที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ทางเลือกด้านนโยบายเพื่อรับมือกับปัญหาภาวะราคาสินค้าแพง ซึ่งเป็นปัญหาที่เร่งด่วนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้ทางเลือกใด หรือใช้หลายทางเลือกควบคู่กันไป ย่อมจะมีทั้งผลดีและผลเสียที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทางการคงจะต้องมีการชั่งน้ำหนักและเลือกดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง โดยตัวอย่างทางเลือกด้านนโยบายที่หยิบยกมากล่าวถึง ได้แก่ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ/เงินเดือนข้าราชการ การควบคุมปริมาณการบริโภคพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมัน และการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ตึงตัวมากขึ้น

ตัวอย่างทางเลือกด้านนโยบาย

ข้อดี

ข้อเสีย

การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ/เงินเดือนข้าราชการ

- เพิ่มรายได้/กำลังซื้อให้กับผู้บริโภค

- ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากค่าจ้างของแรงงานกลุ่มอื่นมีการปรับขึ้นตามมา

- ภาระงบประมาณของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวร ในกรณีของการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

การควบคุมปริมาณการใช้พลังงาน

- ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ

- อาจส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าในอดีต โดยเฉพาะต่อธุรกิจบริการและท่องเที่ยว

นโยบายการเงินและการคลังที่ตึงตัวขึ้น

- สร้างวินัยและการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดทั่วถึงทุกภาคส่วน

- ไม่บิดเบือนกลไกราคาของสินค้า

- กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง

- ธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายอาจได้รับผลกระทบมากกว่าธุรกิจอื่น

ในขณะที่ ปัญหาเฉพาะหน้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงจะอยู่ที่การปรับตัวของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะข้าว ซึ่งอาจผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหากเงินดอลลาร์สหรัฐฯสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจมีการปรับฐานด้วยการทรงตัวหรือชะลอตัวลง เนื่องจากนักลงทุนอาจกลับเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯมากขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นผลดีต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศ แต่อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรที่คาดหวังจะเห็นราคาปรับตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2551 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.0 หรืออยู่ระหว่างกรอบร้อยละ 5.0-5.8 เพราะยังคงมีสินค้าอีกหลายรายการที่รอจ่อคิวขออนุมัติปรับขึ้นราคาในระยะข้างหน้า หลังจากที่น้ำตาลได้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สินค้าในหมวดอาหาร ค่าโดยสารต่างๆ และก๊าซหุงต้มในภาคขนส่ง เป็นต้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


เศรษฐกิจไทย