ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ทยอยประกาศออกมาล่าสุด ล้วนแล้วแต่ส่งสัญญาณที่น่าวิตกมากขึ้น ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคหลักของโลกที่ถดถอยลงลึกและอาจจะกินระยะเวลายาวนานออกไป ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจภายในประเทศที่สำคัญส่วนใหญ่ทำสถิติตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี สะท้อนความรุนแรงของผลกระทบที่ไทยได้รับจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับมุมมองล่าสุดต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ดังนี้
§ การหดตัวลงอย่างหนักของตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2551 โดยเฉพาะการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ย่ำแย่ลงกว่าที่คาด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/2551 มีแนวโน้มหดตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยจากการประเมินเครื่องชี้ต่างๆ ที่มีการรายงานออกมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 4/2551 อาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 3.2 (จากเดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 0.5) จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.6 ในช่วงครึ่งปีแรก และร้อยละ 4.0 ในไตรมาสที่ 3/2551 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเฉลี่ยของปี 2551 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ชะลอลงจากร้อยละ 4.9 ในปี 2550
§ นอกจากนี้ ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อภาคการส่งออกของไทย โดยในรายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ได้ปรับลดประมาณอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2552 ลงเหลือร้อยละ 0.5 ซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือในรอบกว่า 60 ปี ปัญหาเศรษฐกิจโลกดังกล่าวจะส่งผลกดดันให้การส่งออกและการผลิตของประเทศลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้นรวดเร็ว และบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่สภาวะทางธุรกิจที่บีบคั้นคงส่งผลให้การลงทุนยิ่งชะลอตัว และแม้ว่าจะมีเม็ดเงินจากโครงการต่างๆ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มไหลเวียนออกสู่ระบบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาให้แก่ภาคเศรษฐกิจที่เดือดร้อนได้ระดับหนึ่ง แต่คงไม่สามารถทดแทนอุปสงค์ของภาคเอกชน ที่มีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 85 ของจีดีพีได้ทั้งหมด
§ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2552 ลง โดยในกรณีพื้นฐาน (Base Case) คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1.2 และในกรณีเลวร้ายอัตราการขยายตัวของจีดีพีอาจลงไปที่ร้อยละ 0.0 ถ้าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในภูมิภาคหลักของโลกยาวนานไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี (ปรับลดจากประมาณการเดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ร้อยละ 1.5-2.5) โดยคาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนจะขยายตัวในระดับต่ำ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3-0.8 (จากร้อยละ 2.2 ในปีก่อน) ขณะที่การลงทุนอาจจะหดตัวร้อยละ 3.4 ถึง 4.4 (จากที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ในปีก่อน) การส่งออกอาจจะหดตัวร้อยละ 7.0 ถึง 12.0 (จากที่ขยายตัวร้อยละ 16.8 ในปีก่อน) สำหรับการนำเข้าอาจจะหดตัวร้อยละ 9.0 ถึง 13.0 โดยมีแนวโน้มลดลงในอัตราที่มากกว่าการส่งออก เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงอย่างมาก จึงส่งผลให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอาจมีฐานะเกินดุล จากที่ขาดดุลในปี 2551
ภายใต้ความเปราะบางของเศรษฐกิจภายนอกประเทศ ที่ยังไม่สัญญาณชี้ชัดได้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกครั้งนี้จะจบสิ้นและเริ่มต้นฟื้นตัวได้เมื่อใด บทบาทของภาครัฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คืบหน้าโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลมีเสถียรภาพเพียงพอที่จะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
|
2550
|
2551
|
2552
|
|
หน่วย : % YoY ยกเว้นระบุ
|
|
|
กรณีเลวร้าย
|
กรณีพื้นฐาน
|
อัตราการขยายตัวของจีดีพี
|
4.9
|
2.9
|
0.0
|
1.2
|
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล)
|
72.5
|
97.1
|
40.0
|
50.0
|
การบริโภคของภาคเอกชน
|
1.6
|
2.2
|
0.3
|
0.8
|
การลงทุน
|
1.3
|
1.5
|
-4.4
|
-3.4
|
การขาดดุลงบประมาณ (% ของจีดีพี)
|
-1.5
|
-0.9
|
-3.7
|
-4.7
|
การส่งออก
|
17.3
|
16.8
|
-12.0
|
-7.0
|
การนำเข้า
|
9.1
|
26.4
|
-13.0
|
-9.0
|
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
11.6
|
0.2
|
2.0
|
3.7
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
14.0
|
-0.2
|
1.4
|
3.9
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
|
2.3
|
5.5
|
-1.0
|
1.0
|
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
|
1.1
|
2.4
|
0.0
|
1.0
|
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น