จากการรายงานตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี ในไตรมาสที่ 1/2552 ที่หดตัวสูงถึงร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year หรือ YoY) สูงขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ 4.2 ในไตรมาสที่ 4/2551 และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จีดีพีที่ปรับฤดูกาล (Quarter-on-Quarter, Seasonally Adjusted หรือ QoQ) ลดลงร้อยละ 1.9 เป็นการลดลงต่อเนื่องจากที่ติดลบร้อยละ 6.1 ในไตรมาสที่ 4/2551 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทำให้ภาคการส่งออกของไทยต้องปรับลดการผลิตและการจ้างงานลงตามคำสั่งซื้อที่ลดลงอย่างหนัก รวมทั้งธุรกิจต่างชะลอการลงทุนออกไป ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาสู่ภาวะรายได้และการมีงานทำ รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยลดลง
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา น่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดแล้วสำหรับวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยของประเทศไทยในรอบนี้ โดยคาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 2/2552 ที่ปรับฤดูกาลเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) น่าจะปรับตัวดีขึ้นแม้จะไม่ใช่ระดับที่สูงนัก โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่เศรษฐกิจในไตรมาสนี้เผชิญปัจจัยลบที่สำคัญคือการทรุดตัวในภาคการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จลาจลจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนเมษายน และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่ง ศูนย์วิจัยสิกรไทย ประเมินว่าการสูญเสียรายได้การท่องเที่ยวและเดินทางจากปัจจัยลบทั้งสองนี้จะมีผลตัดลดจีดีพีในไตรมาสที่ 2/2552 ลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพี (YoY) ในไตรมาสที่ 2/2552 อาจยังคงหดตัวในอัตราที่ค่อนข้างสูงที่ประมาณร้อยละ 5.6-7.0
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยจีดีพีในไตรมาสที่ 3/2552 น่าจะหดตัว (YoY) ในอัตราที่ชะลอลง และกลับมามีอัตราการขยายตัวเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4/2552 หากการเบิกจ่ายงบประมาณและแผนการจัดหาแหล่งเงินกู้ของรัฐบาลไม่พบกับอุปสรรคที่ทำให้ต้องสะดุดหรือล่าช้าออกไป ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมาจากแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจในหลายประเทศ ที่น่าจะช่วยให้การส่งออกหดตัวในอัตราที่ชะลอลง และกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
นอกจากนี้ ยังน่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากความพยายามในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล ซึ่งแม้ว่าได้มีการปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ลง แต่แนวทางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองจะเปลี่ยนไปสู่การลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถ้ามีการดำเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ก็น่าจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีปัจจัยที่ต้องระวังหลายด้าน ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวยังขาดเสถียรภาพ ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิรกรไทย ยังไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้ของสมมติฐานกรณีเลวร้ายที่สุดที่เศรษฐกิจมีโอกาสที่จะฟื้นตัว ในลักษณะรูปตัว W (W-Shaped) ซึ่งหมายถึงการที่จีดีพีอาจกลับมาติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แทนที่จะเป็นรูปตัว U (U-Shaped) ที่การฟื้นตัวมีความต่อเนื่องในแต่ละไตรมาสข้างหน้า ซึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ แรงกดดันจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประเทศต่างๆ
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นอกเหนือจากประเด็นในด้านการแข็งค่าของเงินบาทแล้ว เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวคือปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมทั้งอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลให้มีความคืบหน้าได้ล่าช้า
จากปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ไว้ที่หดตัวร้อยละ 3.5-6.0 โดยกรณีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคาดว่าจะหดตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.5 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 ในปี 2551 สำหรับแนวโน้มในปี 2553 แม้คาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะกลับมามีอัตราการขยายตัวเป็นบวกได้ แต่อาจยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งสะท้อนนัยที่รัฐบาลอาจยังต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะการผลักดันโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดการจ้างงานกลับเข้ามา โดยในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 อาจขยายตัวอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 2.0-3.0
ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2552
หน่วย : % YoY ยกเว้นระบุ
|
2550
|
2551
|
2552
|
อัตราการขยายตัวของจีดีพี
|
4.9
|
2.6
|
-6.0 to -3.5
|
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล)
|
72.5
|
97.1
|
50.0-60.0
|
การบริโภคของภาคเอกชน
|
1.6
|
2.5
|
-2.4 ถึง -1.5
|
การลงทุน
|
1.3
|
1.1
|
-9.4 ถึง -6.9
|
การขาดดุลงบประมาณ (% ของจีดีพี)
|
-1.5
|
-0.9
|
-7.0 ถึง -6.0
|
การส่งออก
|
17.3
|
16.8
|
-19.0 ถึง -14.5
|
การนำเข้า
|
9.1
|
26.4
|
-24.0 ถึง -19.0
|
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
11.6
|
0.2
|
8.1-8.9
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
14.0
|
-0.2
|
7.5-8.5
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
|
2.3
|
5.5
|
0.0-1.0
|
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
|
1.1
|
2.4
|
0.5-1.0
|
จำนวนผู้ว่างงาน (พันคน)
|
501
|
514
|
900-1,100
|
อัตราการว่างงาน
|
1.4
|
1.4
|
2.4-3.0
|
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น