จากการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนล่าสุด ที่มีการรายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/2552 อาจยังคงหดตัวสูงประมาณร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ก็เป็นอัตราลบที่ชะลอลงกว่าในไตรมาสแรกที่จีดีพีหดตัวสูงถึงร้อยละ 7.1 ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของวัฏจักรเศรษฐกิจถดถอยในรอบนี้แล้ว โดยการที่จีดีพีชะลอการหดตัวลงแม้ว่าเป็นช่วงที่มีปัจจัยลบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายนและการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ที่สำคัญเป็นผลมาจากการใช้จ่ายวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 ของรัฐบาล ซึ่งก็น่าจะช่วยประคองภาวะการบริโภคของภาคเอกชนไว้ได้บ้าง ประกอบกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหดตัวชะลอลงกว่าไตรมาสแรกค่อนข้างมาก
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยจากดัชนีความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (Probability Index for Economic Recovery) ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดทำขึ้นนั้น พบว่าโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะ 3 เดือนข้างหน้า (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2552) เพิ่มขึ้นมาที่เฉลี่ยร้อยละ 63 จากจุดต่ำสุดที่ระดับร้อยละ 19 เมื่อเดือนมีนาคม โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวกมากขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศชั้นนำหลายประเทศมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม รวมทั้งอัตราการว่างงานในประเทศแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนแต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับที่เคยหวั่นเกรงกัน
ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อสถานะการคลังของรัฐบาลลดน้อยลง หลังจากพ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เป็นวงเงิน 400,000 ล้านบาทได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เปิดทางให้รัฐบาลมีเงินทุนเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งถ้าดำเนินการได้จริงก็จะทำให้มีการกระจายการลงทุนและมีเงินหมุนเวียนลงไปยังท้องถิ่นได้ ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ระดับความเสี่ยงภายใต้สมมติฐานประมาณการเศรษฐกิจในกรณีเลวร้ายที่สุด ลดลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ สถานการณ์การเมืองในประเทศและเสถียรภาพของรัฐบาล ปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคซึ่งจะมีผลต่อราคาน้ำมัน ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วกว่าอุปสงค์ที่แท้จริง นอกจากนี้ ภาคการส่งออกอาจได้รับแรงกดดันจากทิศทางค่าเงินบาท ซึ่งอาจยังคงมีแรงหนุนให้อยู่ในระดับที่แข็งค่า เนื่องจากไทยยังมีแนวโน้มเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและมีแนวโน้มเงินทุนไหลเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยภาพรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 จะหดตัวร้อยละ 0.7-3.6 ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 6.3 โดยคาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 3/2552 จะหดตัวร้อยละ 4.2-5.0 ขณะที่ในไตรมาสที่ 4/2552 อาจอยู่ในช่วงหดตัวร้อยละ 2.3 ถึงขยายตัวร้อยละ 2.9 ส่งผลให้จีดีพีตลอดทั้งปี 2552 ปรับขึ้นมาเป็นหดตัวร้อยละ 3.5-5.0 จากเดิมคาดการณ์ว่าจะหดตัวร้อยละ 3.5-6.0 โดยกรอบล่างของประมาณการอยู่ภายใต้สมมติฐานกรณีเลวร้ายที่เศรษฐกิจโลกอาจยังคงฟื้นตัวได้ล่าช้า และความไม่แน่นอนทางการเมืองจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยคาดว่า การบริโภคของภาคครัวเรือนจะหดตัวร้อยละ 1.7-2.1 การลงทุนหดตัวร้อยละ 9.0-10.0 การส่งออกหดตัวร้อยละ 14.5-19.0 ขณะที่การนำเข้าหดตัวลงร้อยละ 23.5-28.5 ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงขึ้นมาที่ 16,000-16,500 ล้านดอลลาร์ฯ
หน่วย : % YoY ยกเว้นระบุ
|
2550
|
2551
|
2552
|
อัตราการขยายตัวของจีดีพี
|
4.9
|
2.6
|
-5.0 to -3.5
|
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล)
|
72.5
|
97.1
|
60.0-65.0
|
การบริโภคของภาคเอกชน
|
1.6
|
2.5
|
-2.1 ถึง -1.7
|
การลงทุน
|
1.3
|
1.1
|
-10.0 ถึง -9.0
|
การขาดดุลงบประมาณ (% ของจีดีพี)
|
-1.5
|
-0.9
|
-7.0 ถึง -6.0
|
การส่งออก
|
17.3
|
16.8
|
-19.0 ถึง -14.5
|
การนำเข้า
|
9.1
|
26.4
|
-28.5 ถึง -23.5
|
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
11.6
|
0.2
|
15.9-16.9
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
14.0
|
-0.2
|
16.0-16.5
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
|
2.3
|
5.5
|
-0.5 ถึง 0.5
|
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
|
1.1
|
2.4
|
0.4-0.9
|
จำนวนผู้ว่างงาน (พันคน)
|
501
|
514
|
800-920
|
อัตราการว่างงาน
|
1.4
|
1.4
|
2.1-2.5 |
* ประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ข้อมูล ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2552
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น