จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2/2552 ที่เริ่มกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยจีดีพีที่ปรับฤดูกาลขยายตัวร้อยละ 2.3 จากไตรมาสที่ 1/2552 (Seasonally Adjusted Quarter-on-Quarter) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการหดตัวชะลอลงมาที่ร้อยละ 4.9 (Year-on-Year) จากที่ติดลบเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี ที่ร้อยละ 7.1 ในไตรมาสที่ 1/2552 ตัวเลขดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสัญญาณบวกที่ค่อนข้างดี ขณะที่คาดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการฟื้นตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2/2552 จะส่งผลดีต่อเนื่องมาสู่ไตรมาสที่ 3/2552
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตัวเลขจีดีพีในไตรมาสที่ 3/2552 ที่ปรับฤดูกาลแล้ว อาจจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (
QoQ, ) ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จีดีพีจะยังคงเป็นตัวเลขติดลบ แต่น่าจะเป็นอัตราลบที่น้อยลง โดยอาจหดตัวประมาณร้อยละ 4.5 (YoY) และอาจจะเริ่มขยายตัวเป็นบวกในช่วงไตรมาสที่ 4/2552 ถ้าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้จีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังหดตัวชะลอลงมาที่ประมาณร้อยละ 1.0 จากที่หดตัวร้อยละ 6.0 ในช่วงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3/2552 แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมีมุมมองที่ระมัดระวัง โดยเศรษฐกิจไทยยังอาจเผชิญความเสี่ยงในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะประเด็นที่จะกระทบให้การเบิกจ่ายงบประมาณหรือการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องหยุดชะงักลง ขณะเดียวกัน ในด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วก็ยังคงมีความเปราะบาง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ทิศทางราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้น การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ที่จะมีผลต่อค่าเงินบาทและการส่งออกของไทย เป็นต้น
จากความไม่แน่นอนดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ไว้ที่หดตัวร้อยละ 3.5-5.0 โดยคาดว่า การบริโภคของภาคเอกชนจะหดตัวร้อยละ 1.4-1.7 การลงทุนหดตัวร้อยละ 7.4-9.0 การส่งออกในรูปมูลค่าดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 14.5-17.5 ขณะที่การนำเข้าอาจหดตัวลงร้อยละ 27.0-23.5
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวแล้ว แต่เส้นทางการฟื้นตัวยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่อุปสงค์ในภาคเอกชนโดยพื้นฐานแล้วยังคงอ่อนแรงหากปราศจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ดังนั้น ในระยะเวลาที่เหลือของปี ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ บทบาทของรัฐบาลจึงมีความหมายอย่างยิ่งในการประคับประคองเศรษฐกิจให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องได้ตลอดรอดฝั่งแม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะต้องเผชิญความเสี่ยงในหลายด้านก็ตาม
หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐในระยะต่อจากนี้จึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการผลักดันโครงการไทยเข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นความคาดหวังของทุกฝ่ายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีความหมายต่อการเรียกความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ให้ธุรกิจมีความมั่นใจที่จะกลับมาเดินหน้าแผนการลงทุน และผู้บริโภคมีความมั่นใจที่จะใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้สามารถดำเนินต่อเนื่องไปได้ในระยะถัดๆ ไป
สิ่งสำคัญเฉพาะหน้าสำหรับรัฐบาลจึงอยู่ที่การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และผลักดันโครงการลงทุนของรัฐให้มีความคืบหน้าได้ตามแผน โดยต้องมุ่งเน้นให้โครงการดำเนินการอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพเพื่อให้เม็ดเงินงบประมาณก่อเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ส่วนในด้านนโยบายการเงินนั้น ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำดังที่เป็นอยู่ต่อไปจนถึงในช่วงกลางปี 2553
หน่วย : % YoY ยกเว้นระบุ
|
2550
|
2551
|
2552
|
อัตราการขยายตัวของจีดีพี
|
4.9
|
2.6
|
-5.0 to -3.5
|
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล)
|
72.5
|
97.1
|
60.0-65.0
|
การบริโภคของภาคเอกชน
|
1.6
|
2.5
|
-1.7 ถึง -1.4
|
การลงทุน
|
1.3
|
1.1
|
-9.0 ถึง -7.4
|
การขาดดุลงบประมาณ (% ของจีดีพี)
|
-1.5
|
-0.9
|
-5.5 ถึง -5.0
|
การส่งออก
|
17.3
|
16.8
|
-17.5 ถึง -14.5
|
การนำเข้า
|
9.1
|
26.4
|
-27.0 ถึง -23.5
|
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
11.6
|
0.2
|
15.9-16.9
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ)
|
14.0
|
-0.2
|
16.0-16.5
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
|
2.3
|
5.5
|
-0.9 ถึง -0.4
|
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
|
1.1
|
2.4
|
0.0-0.5
|
จำนวนผู้ว่างงาน (พันคน)
|
501
|
514
|
640-680
|
อัตราการว่างงาน
|
1.4
|
1.4
|
1.6-1.8
|
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น