Display mode (Doesn't show in master page preview)

1 มิถุนายน 2553

เศรษฐกิจไทย

เงินเฟ้อพื้นฐานเข้าสู่ช่วงขาขึ้น แต่ยังไม่กดดันนโยบายการเงินในระยะสั้น (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2834)

คะแนนเฉลี่ย

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2553 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) จากร้อยละ 3.0 ในเดือนเมษายน ขณะที่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ระดับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 (Month-on-Month) โดยแม้ว่าราคาน้ำมันในประเทศในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงมากเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน แต่ราคาอาหารสดปรับตัวสูงขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนพฤษภาคมเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (YoY) จากร้อยละ 0.5 ในเดือนเมษายน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานเปรียบที่ต่ำของเดือนพฤษภาคมปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลเริ่มต้นใช้มาตรการเรียนฟรี 15 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การเรียนปรับลดลงอย่างมาก

อาจกล่าวได้ว่า ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงค่อนข้างแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากผลของความตื่นตระหนกในตลาดเงินตลาดทุนโลกต่อวิกฤตหนี้สินและการขาดดุลการคลังของกรีซ โปรตุเกสและสเปน ได้ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศของไทยปรับตัวลดลง ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับลดลงในระยะนี้มีส่วนช่วยผ่อนคลายแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะเดือนถัดๆ ไปลงบ้าง แต่ไม่ได้เปลี่ยนทิศทางที่เคยมองว่าเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสที่ 2/2553 อาจชะลอลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.3 จากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสที่ 1/2553 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ถ้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังคงมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นกว่าระดับในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2553 ไว้ที่ร้อยละ 3.0-4.0 อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดกรอบประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลงเป็นร้อยละ 1.0-1.5 จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 1.5-2.0 เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยจากปัญหาทางการเมือง ซึ่งน่าจะส่งผลให้การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในระยะเดือนที่เหลือของปี มีอัตราเร่งที่ช้าลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ช้าลงนี้ มีส่วนช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ทำให้ธปท. สามารถยืดระยะเวลาของการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยแบบผ่อนปรน โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็จะสอดคล้องกับความจำเป็นที่นโยบายการเศรษฐกิจของทางการในขณะนี้อาจยังต้องมีเป้าหมายช่วยประคับประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากเศรษฐกิจในภาพรวมและภาคธุรกิจหลายสาขาเผชิญผลกระทบจากสถานการณ์รุนแรงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่น่าจะยังคงเร่งตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี คงจะมีผลทำให้ในที่สุดแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่อาจรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเมื่อผลกระทบของปัญหาทางการเมืองต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ค่อยๆ บรรเทาลง

ปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะมีผลต่อภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำมัน และทิศทางราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการตรึงราคาสินค้าต่างๆ ที่จะมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


เศรษฐกิจไทย