ในช่วงบ่ายวันที่ 20 เมษายน 2554 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) สู่ร้อยละ 2.75 ตามคาด โดยกนง. ยังคงระบุย้ำเช่นเดิมว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยยังเป็นขาขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ยังคงเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการพิจารณากำหนดจุดยืนเชิงนโยบายการเงินของกนง. โดยแม้มติการประชุมนโยบายการเงินรอบนี้จะไม่เป็นเอกฉันท์ แต่กรรมการกนง.ที่ลงมติแตกต่าง (โดยเห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ย แต่เสนอให้ชะลอออกไปก่อน) จากกรรมการท่านอื่น ก็ยังคงมองว่า วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยในรอบนี้ ยังคงไม่สิ้นสุดลง
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบที่เหลือของปี 2554 นั้น เครือธนาคารกสิกรไทยยังคงมุมมองเช่นเดิมว่า กนง.น่าจะยังคงกำหนดทิศทางนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับโจทย์ในการดูแลแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงในระยะข้างหน้า โดยมีแรงผลักดัน ทั้งจากด้านอุปสงค์ที่เศรษฐกิจยังคงมีแรงส่งให้ขยายตัว และจากด้านอุปทานที่ราคาน้ำมัน-สินค้าโภคภัณฑ์-วัตถุดิบรอที่จะส่งผ่านไปที่ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค ขณะที่ แม้ว่ามาตรการดูแลราคาสินค้าและราคาพลังงานหลายประเภทของทางการไทย อาจช่วยชะลอแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศลงบางส่วน แต่อาจจะไม่สามารถสกัดแรงหนุนจากการคาดการณ์เงินเฟ้อได้โดยตรง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยยังมีโอกาสขยับเข้าใกล้ร้อยละ 3.0 ซึ่งเป็นกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อของธปท.ภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ดังนั้น เครือธนาคารกสิกรไทย จึงคาดว่า น่าจะเห็นสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในการประชุม 2 รอบถัดไปนับจากนี้ ได้แก่ การประชุมในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม 2554 โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าที่จะถูกปรับขึ้นสู่ระดับร้อยละ 3.25 ภายในสิ้นปี 2554 นี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น