ระดับราคาสินค้าผู้บริโภคล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2554 ยังคงปรับสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 4.08% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขยับขึ้นจาก 4.06% YoY ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยับขึ้นมาที่ 2.59% YoY ในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 2.55% YoY ในเดือนมิถุนายน ทั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อของไทยเดือนล่าสุดจะไม่เร่งตัวขึ้นมากนักแบบในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงการคาดการณ์ว่า แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยยังไม่คงไม่ผ่านพ้นจุดสูงสุด ซึ่งอาจจะอยู่ในช่วงปลายปี 2554 นี้ หรือในช่วงต้นปี 2555 ขึ้นอยู่กับข้อสรุปรายละเอียดของแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของรัฐบาลชุดใหม่
สำหรับทิศทางเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 จะอยู่ในกรอบที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีแรก โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4.5% YoY ในช่วงครึ่งปีหลัง เร่งขึ้นจากค่าเฉลี่ย 3.56%YoY ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจขยับขึ้นมามีค่าเฉลี่ยไม่ต่ำว่า 2.8% YoY เร่งขึ้นจากค่าเฉลี่ย 1.91% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก โดยยังคงมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานบางเดือนในช่วงที่เหลือของปีจะเกิน 3.0% ซึ่งเป็นกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อ 0.5-3.0% ของธปท. ทั้งนี้ ตัวแปรในช่วงหลังจากนี้ที่อาจมีผลต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปดังกล่าวข้างต้น คือ มาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดอายุมาตรการในเดือนกันยายน 2554 ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงจังหวะเดียวกันกับการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ ยังมีทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศที่จะมีผลต่อทิศทางราคาสินค้าเกษตร กลไกการส่งผ่านแรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ผลิต (พลังงาน-ค่าจ้าง-วัตถุดิบ-อัตราดอกเบี้ย) มายังราคาสินค้าผู้บริโภค ตลอดจนทิศทางของการคาดการณ์เงินเฟ้อที่อาจเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเปิดเผยรายละเอียดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
สำหรับการประชุมกนง.รอบถัดไปในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เครือธนาคารกสิกรไทย คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขยับขึ้นอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50% และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับสูงขึ้นอีกในรอบการประชุมที่เหลือของปี เนื่องจากคาดว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อยังน่าจะมีน้ำหนักสำคัญต่อการพิจารณากำหนดจุดยืนนโยบายการเงินของธปท.
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น