สืบเนื่องจากปัจจัยบวกต่าง ๆ อาทิ การที่รัฐบาลเฉพาะกาลน่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณในวงเงิน 1.52 ล้านล้านบาทสำหรับปี 2550 ได้เร็วกว่าที่เดิมคาดการณ์ไว้ และจากการที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันในประเทศก็น่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าในปี 2549 ที่ผ่านมา รวมทั้งจากความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากทางการในปีหน้า ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ดังนี้ :-
สรุปประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2550
หน่วย: อัตราการขยายตัวจากปีก่อนหน้า หรือระบุเป็นอย่างอื่น |
|
2550
|
2549
|
ประมาณการเดิม
|
ประมาณการใหม่
|
การบริโภคกาคเอกชน |
3.9
|
3.5-4.0
|
# ปรับเพิ่มเป็น 4.0-4.5% |
จากแนวโน้มที่ลดลงของเงินเฟ้อ |
การบริโภคของภาครัฐ
|
1.2
|
2
|
# ปรับเพิ่มเป็น 5.0% เนื่องจากเงินเฟ้อที่ลดลงและจากวงเงินรายจ่ายตามงบประมาณปี 2550
|
การลงทุนรวม
|
4.5
|
3.5
|
# ปรับเพิ่มเป็น 4.0-5.2%
|
ภาคเอกชน
|
5.1
|
5.6-5.9
|
ไม่เปลี่ยนประมาณการ
|
ภาครัฐ
|
2.8
|
-3.8
|
# ปรับเพิ่มเป็น -0.8% ถึง +3.2% จากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล
|
การส่งออก
|
17
|
9.0-12.0
|
# ปรับเพิ่มเป็น 12-15% เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะไม่รุนแรงอย่างที่เคยกังวล
|
การนำเข้า
|
10
|
9.0-12.0
|
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ย (USD/Barrel)
|
65
|
67
|
$ ปรับลดประมาณการลงเป็น 60 ดอลลาร์ฯ
|
ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศเฉลี่ย (บาท/ลิตร)
|
25.6
|
26.5
|
$ ปรับลดประมาณการลงเป็น24.5 บาท/ลิตรตามราคาน้ำมันในต่างประเทศ
|
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI)
|
4.7
|
3.3-3.8
|
$ ปรับลดลงเป็น 3.0-3.5% ตามแนวโน้มราคาน้ำมัน
|
GDP
|
4.0-4.5
|
3.5-4.5
|
# ปรับเพิ่มประมาณการเป็น 4.0-5.0% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายในประเทศ โดยเฉพาะภาครัฐ
|
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ แต่การสามารถเร่งเบิกจ่ายงบประมาณได้เร็วขึ้นอีกประมาณ 3-4 เดือนจากที่คาดไว้เดิม รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดของอัตราเงินเฟ้อ และการทรงตัวของราคาน้ำมันในประเทศ น่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ซึ่งทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 เป็นร้อยละ 4.0-5.0 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.5-4.5 อย่างไรก็ตาม แม้จะคาดว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2550 คงจะไม่รุนแรงมากนัก โดยน่าจะเป็นการ Soft Landing มากกว่าที่จะเป็นภาวะถดถอย หรือ Recession แต่การส่งออกของไทย รวมทั้งแนวโน้มราคาสินค้าโภคภันฑ์ต่าง ๆ ก็อาจจะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงอยู่ ในขณะที่ค่าเงินบาทก็อาจจะเผชิญกับความผันผวนจากกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน ตามจังหวะการปรับฐานของเงินดอลลาร์ฯ ในขณะเดียวกัน ก็คาดว่า การลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาจจะยังคงรอดูความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งทำให้ความสามารถในการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐจะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น