ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่ 2 ปี 2550 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยแม้ว่าภาวะการใช้จ่ายในประเทศยังคงชะลอตัว แต่การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่สองนี้ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่องจากในไตรมาสแรก สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2550 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0-4.5 ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวร้อยละ 4.3 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของทั้งปี 2550 อยู่ในช่วงร้อยละ 4.3-4.5 โดยลดลงจากปี 2549 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 โดยปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้ ได้แก่ ภาวะการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ตลอดจนการใช้จ่ายในประเทศที่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่ชะลอตัวได้สร้างแรงกดดันต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ในขณะที่ปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯได้ส่งผลกระทบและสร้างความผันผวนต่อทั้งตลาดทุนและอัตราแลกเปลี่ยน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในขณะนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยปัจจัยภายนอกประเทศสำคัญคงจะหลีกไม่พ้นผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้การบริโภคของครัวเรือนสหรัฐฯชะลอตัวลง และส่งผลต่อเนื่องไปยังการส่งออกของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนปัจจัยความไม่แน่นอนภายในประเทศนั้น คาดว่า นักลงทุนและภาคธุรกิจยังคงเฝ้าติดตามประเด็นด้านเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ แม้ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะได้ผ่านการลงประชามติไปแล้วเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาก็ตาม นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงติดตามการดำเนินการพิจารณากฎหมายธุรกิจที่สำคัญ ๆ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น ในขณะเดียวกันความล่าช้าของโครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ต่ำกว่าเป้า ก็อาจกระทบต่ออัตราการขยายตัวของการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2550 และอาจจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2551 ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ นอกจากนี้ การลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาว (long-term bond yields) ที่ได้ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่าธปท.จะได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ตาม
หน่วย: % YoY, หรือระบุเป็นอย่างอื่น |
2549 |
|
2550 |
|
|
|
ครึ่งแรก |
ครึ่งหลัง |
ทั้งปี |
GDP |
5.0 |
4.3 |
4.0-4.5 |
4.3-4.5 |
การบริโภคภาคเอกชน |
3.1 |
1.4 |
1.5-2.5 |
1.5-2.0 |
การลงทุนรวม |
4.0 |
0.1 |
0.1-4.1 |
0.1-2.1 |
เอกชน |
3.9 |
-0.8 |
-0.7 ถึง +3.6 |
-0.8 ถึง +1.4 |
รัฐ |
4.5 |
2.9 |
2.5-5.5 |
2.7-4.2 |
การส่งออก |
17.4 |
18.4 |
4.5-7.5 |
11.5-13.0 |
การนำเข้า |
7.0 |
6.4 |
3.5-7.5 |
5.0-7.0 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ) |
3.2 |
6.2 |
4.3-7.3 |
10.5-13.5 |
ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย (บาท/ลิตร) |
25.6 |
24.2 |
25.4 |
24.8 |
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ย (ดอลลาร์ฯ) |
65.2 |
63.2 |
70.6 |
66.9 |
ค่าเงินบาท (เฉลี่ย) |
37.93 |
35.14 |
34.00 |
34.57 |
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) |
4.7 |
2.2 |
1.9 |
2.0 |
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) |
2.3 |
1.1 |
0.9 |
1.0 |
อัตราดอกเบี้ย Repo-1Day (ระดับปิด) |
4.9375 |
3.50 |
3.00 |
3.00 |
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น