ในช่วงนี้ของทุกปี
ผู้ปกครองที่มีบุตรในวัยเรียนต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอมใหม่ เช่น
ค่าเทอม (สำหรับผู้ที่ส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนานาชาติ)
ค่าบำรุงการศึกษาและกิจกรรมในโรงเรียน ค่าใช้จ่ายหนังสืออุปกรณ์การเรียนและเครื่องแต่งกายนักเรียน
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 นี้
แตกต่างไปจากปีที่ผ่านๆ มา เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการมีงานทำและรายได้ของผู้ปกครองบางกลุ่มจากการที่ภาคธุรกิจต้องปิดตัว
ขณะเดียวกันทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการเลื่อนการเปิดภาคการศึกษาใหม่ในปี 2563
เป็น วันที่ 1
ก.ค. 63 เพื่อลดความเสี่ยงแก่เด็กนักเรียน
รวมถึงได้เตรียมแผนการเรียนออนไลน์ในระหว่างที่กำลังปิดเทอมและกรณีโควิด-19
กลับมาระบาดอีกครั้ง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำการสำรวจพฤติกรรมความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและผลกระทบจากโควิด-19
ของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 (โดยเน้นกลุ่มผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเรียนระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย)
ในช่วงระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2563 จากกลุ่มตัวอย่าง 480 คน ซึ่งมีประเด็นดังนี้
ในช่วงของการเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 นี้
จะเป็นช่วงลำบากของผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเรียนอันเนื่องจากการระบาดของโควิด-19
โดยเฉพาะในมุมด้านการใช้จ่ายเพื่อการศึกษา จากผลสำรวจ พบว่า ผู้ปกครองกว่า 88.9% มีความกังวลต่อสภาพคล่องทางการเงินที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี
2563
จากหลายสาเหตุ
อาทิ
เงินออมไม่เพียงพอเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่กิจการต้องปิดให้บริการชั่วคราวมีผลต่อรายได้และผู้ปกครองบางรายถูกเลิกจ้างชั่วคราว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า
ในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
น่าจะมีการใช้จ่ายด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลาน (นักเรียนระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย)
เป็นมูลค่าประมาณ
28,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีการปรับลดค่าใช้จ่ายในกลุ่มเครื่องแบบนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนโดยซื้อเฉพาะที่มีความจำเป็น
นอกจากนี้ ผู้ปกครองกว่า
86% ยังมีความกังวลหากบุตรหลานกลับไปโรงเรียน และอยากเห็นสถาบันการศึกษามีมาตรการในการป้องกันเชื้อโควิด-19
อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง อาทิ
การคัดกรอง/ตรวจวัดไข้เด็กก่อนเข้าเรียน มีจุดให้บริการเจลล้างมือ
การให้นักเรียนใส่หน้ากากอนามัย
การบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของโรงเรียนไม่ให้มีความหนาแน่น
การจัดระบบภายในห้องเรียนให้มีระยะห่างระหว่างกัน การทำความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อสม่ำเสมอทั้งในห้องเรียน
บริเวณรอบๆ โรงเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอน การปรับ/ลดกิจกรรมกีฬาที่มีการสัมผัสใกล้ชิด
และการปรับตารางเรียน
อาจจะมีการสลับเวลาเรียนระหว่างชั้นเรียนเพื่อลดความแออัดในห้องเรียน/โรงเรียน
เป็นต้น
สำหรับประเด็นการเรียนผ่านสื่อออนไลน์/ฟรีทีวี
ซึ่งภาครัฐตั้งใจให้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเทอมนั้น
เป็นแนวคิดที่ดีสำหรับการใช้เวลาในการเสริมทักษะความรู้ให้กับนักเรียนระหว่างรอเปิดภาคเรียนใหม่และการเตรียมพร้อมหากสถานการณ์โควิด-19
กลับมาระบาดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นอกจากความช่วยเหลือเพื่อสร้างความพร้อมให้กับผู้ปกครองและนักเรียนแล้ว
การออกแบบเนื้อหาและรูปแบบอาจต้องมีการปรับให้มีความน่าสนใจและทำให้เกิดการฝึกฝนด้านทักษะและความคิด
และสามารถสื่อสาร 2 ทางได้
เพื่อให้การเรียนออนไลน์เป็นช่องทางเสริมการเรียนในชั้นเรียนของนักเรียนในแต่ละระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การเปิดจุดบริการอย่างสถานที่ราชการให้นักเรียนที่ไม่มีความพร้อมในอุปกรณ์ให้สามารถเข้าถึงระบบการเรียนออนไลน์/ฟรีทีวีได้น่าจะช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงการศึกษาลงได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น