ในการประชุม FOMC วันที่ 6-7 พ.ย. นี้ คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% สอดคล้องกับที่ตลาดคาด เนื่องจาก
- เงินเฟ้อที่ปรับลดลงเข้าใกล้เป้าหมายของเฟด โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย. 2567 วัดจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่เฟดให้ความสำคัญปรับลดลงสู่ระดับ 2.1% YoY เกือบแตะเป้าหมายของเฟดที่ 2.0% (รูปที่ 1)
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงสู่ “Soft Landing” ท่ามกลางตลาดแรงงานที่เห็นภาพทยอยชะลอตัวลงและยอดค้าปลีกที่ยังคงขยายตัวได้ ส่งผลให้ในการประชุมที่จะถึงนี้เฟดไม่มีความจำเป็นที่ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงแรงถึง 0.50% ดังที่เกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ต่อเนื่องในเดือนธ.ค. 2567 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% ณ สิ้นปี 2567 สอดคล้องกับที่ตลาดส่วนใหญ่คาด
อย่างไรก็ดี ทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในระยะถัดไปยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง โดยคงขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาระหว่างทางเป็นสำคัญ อีกทั้งยังขึ้นกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. เนื่องจากหาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Republican Sweep) มีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งสูงขึ้นจากมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าและมาตรการกีดกันแรงงานอพยพ ซึ่งอาจส่งผลให้เฟดอาจไม่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้เท่าที่ควรในระยะข้างหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังมีความหนืดอยู่ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.ย. 2567 วัดจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Core PCE) ยังทรงตัวอยู่ที่ 2.7% (รูปที่ 1) ทั้งนี้ จากข้อมูลของ CME FedWatch Tool ณ วันที่ 1 พ.ย. 2567 ตลาดส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรวมทั้งสิ้นราว 0.75% ลงมาอยู่ที่ราว 3.50-3.75% ณ สิ้นปี 2568 (รูปที่ 2) สูงกว่า 3.25-3.50% ที่ Dot Plot ของเฟดล่าสุดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น