สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อนำน้ำมันเชื้อเพลิงยั่งยืน (SAF) มาใช้ภายในปี 2569 โดยคาดว่าจะเริ่มกำหนดให้สายการบินที่เดินทางออกจากประเทศไทยจะต้องใช้น้ำมัน SAF เป็นสัดส่วน 1% ของปริมาณน้ำมันเครื่องบิน (Jet A-1) และเพิ่มขึ้นในปีถัด ๆ ไปตามลำดับ
โดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศยานระหว่างประเทศ (ITATA) ตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจการบินระหว่างประเทศจะต้องบรรลุเป้าหมาย Net zero ภายในปี 2593 ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการนำน้ำมัน SAF มาใช้
คุณสมบัติสำคัญของน้ำมัน SAF นั้นสามารถนำมาผสมกับน้ำมันเครื่องบินปกติได้ถึง 50% โดยไม่ต้องปรับปรุงอุปกรณ์ของเครื่องบิน อย่างไรก็ดีต้นทุนในการผลิตน้ำมัน SAF ยังคงสูงกว่าน้ำมันเครื่องบินปกติ 2 - 3 เท่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการนำมาตรการ SAF มาใช้ จะต้องทำควบคู่กับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ โดยในต่างประเทศมีการกำหนดสัดส่วนการใช้น้ำมัน SAF ในหลายประเทศ เช่น สภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ จะทำควบคู่กับมาตรการสนับสนุน เช่น การให้
เงินอุดหนุนการผลิต การเก็บภาษีเพื่ออุดหนุนราคา เป็นต้น รวมถึงต้องพัฒนาระบบนิเวศน์ใน
ห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง และการบริโภค
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น