ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยฐานข้อมูลเครดิตบูโรสะท้อนภาพหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อธุรกิจได้อานิสงส์จากการปรับโครงสร้างหนี้ที่ช่วยยืดปัญหาออกไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่องข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจจากฐานข้อมูลของบริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ไตรมาส 1/2568 พบลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ ขณะที่อานิสงส์จากการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน หรือ Stage 1 มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา ย้ำการแก้ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่งที่เปิดเผยสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเอ็นพีแอลที่ขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่หากเจาะลึกฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า แม้ทิศทางหนี้ที่มีปัญหา (Stage 2 และ Stage 3) จะทรงตัวจากช่วงปลายปี 2567 แต่ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีนับจากมีการเปิดประเทศหลังโควิด นอกจากนี้ ลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยในกลุ่ม Super Micro เอ็นพีแอลมีสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ตามมาด้วยกลุ่ม Micro ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ 9.75% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะอยู่ที่ 6.51% และ 1.37% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา
นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูลคุณภาพหนี้จำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในและต่างประเทศ เช่น ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ในระดับสูงที่สุด และส่วนที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่าคุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่าง ๆ ข้างต้น มีโอกาสถดถอยลงอีกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลจากการจัดกลุ่มบัญชีสินเชื่อธุรกิจใหม่ตามลักษณะพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย สถานะปกติ (Good) เริ่มไม่ปกติ (Newly Impaired) ดีสลับแย่ (On-Off) และ มีปัญหารุนแรง (Distressed) พบว่า 95% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจ ยังจัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกติ แต่จุดที่น่าสนใจคือ สัดส่วนจำนวนบัญชีที่จัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกตินี้เริ่มทยอยลดลงในช่วงหลังโควิด ขณะที่ กลุ่มดีสลับแย่และกลุ่มที่มีปัญหารุนแรง เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ภาพดังกล่าว สะท้อนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจหลายระลอกที่กระทบความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจไทย โดยธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งมีสัดส่วนของบัญชีสินเชื่อกลุ่มสถานะปกติลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะมีส่วนช่วยชะลอการไหลลงไปสู่ชั้นหนี้เสีย แต่การปรับโครงสร้างหนี้ จะ ‘มีประสิทธิผลที่สุด’ ในการช่วยฟื้นธุรกิจ ก็ต่อเมื่อเข้าไปดูแลตั้งแต่ธุรกิจ ‘เริ่ม’ มีสัญญาณการค้างชำระ ไม่ใช่เข้าไปดูแลหลังจากที่กลายเป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว เพราะโอกาสการฟื้นตัวของหนี้เอ็นพีแอลกลับมาสู่การจัดชั้นที่ดีขึ้น (ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปีหลังจากปรับโครงสร้างหนี้) จะมีไม่ถึง 10%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทางการไทยควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ อันถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน เป็นต้น
นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น ลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้หนี้ต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง
Click เพื่ออ่าน slide ในหัวข้อ “หนี้ธุรกิจไทยจาก Big Data ของ NCB สัญญาณเสี่ยงและการจัดการเพื่อความยั่งยืน”
Click เพื่ออ่าน Press Release ภาษาไทย ได้ที่นี่…
Click เพื่ออ่าน Press Release ภาษาอังกฤษ ได้ที่นี่…
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น