การส่งออกสินค้าของไทยในเดือนต.ค. 2562 มีมูลค่าอยู่ที่ 20,757.78 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 4.54 YoY ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 หดตัวเพิ่มขึ้นจากช่วง 9 เดือนแรกมาที่ร้อยละ -2.35 YoY โดยการส่งออกสินค้าที่หดตัวลงในเดือนต.ค. เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกและผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากความผันผวนของมูลค่าการส่งออกทองคำที่พลิกกลับมาหดตัวร้อยละ 22.24 YoY หลังขยายตัวสูงมากจนเป็นแรงหนุนสำคัญของการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลอดจนมีผลของฐานราคาน้ำมันดิบโลกที่สูงในปีก่อน ที่ทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันดิบในเดือนต.ค. 2562 มีมูลค่าลดลงจากผลทางด้านราคาโดยเปรียบเทียบ เมื่อหักมูลค่าการส่งออกทองคำและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันแล้ว การส่งออกสินค้าไทยในเดือนต.ค. 2562 หดตัวร้อยละ 1.2 YoY
การส่งออกสินค้าไทยไปตลาดสหรัฐฯ ยังขยายตัวดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ร้อยละ 4.80 YoY สวนทางกับภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยที่หดตัวติดต่อกัน เมื่อพิจารณารายสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ จะเห็นว่า สินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีบางส่วนเป็นรายการสินค้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ชี้ให้เห็นว่า ไทยได้อานิสงส์บางส่วนจากการส่งออกสินค้าไปทดแทนจีนในตลาดสหรัฐฯ ในขณะที่การส่งออกสินค้าไทยไปจีนกลับมาหดตัวอีกครั้งที่ร้อยละ -4.2 YoY ในเดือนต.ค. 2562 จากการหดตัวของการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเป็นสำคัญ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าไทยในปี 2562 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ -2.5 และร้อยละ -5.0 ตามลำดับ โดยมองว่า การส่งออกและนำเข้าสินค้าไทยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2562 ยังมีแนวโน้มหดตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกยังให้ภาพที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นในภูมิภาค ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น