การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมานั้น ผลการนับคะแนนในเบื้องต้นพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มสูงที่จะครองสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่วุฒิสภายังมีคะแนนสูสี และแม้ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 6 ธ.ค. 2565 จะออกมาว่าพรรคเดโมแครตจะยังได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้หรือไม่จากผลคะแนนตัดสินที่เหลืออีก 4 ที่นั่ง (ผลการนับคะแนน ณ วันที่ 10 พ.ย. 2565 ทั้ง 2 พรรคมีคะแนนเท่ากันที่ 48:48) แต่การที่พรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ส่งผลต่อการบริหารงานของนายโจ ไบเดนในอีก 2 ปีข้างหน้า
• ผลคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกันที่ชนะไม่ขาดในสภาผู้แทนราษฏร และคะแนนเสียงในสภาสูงของพรรคเดโมแครตก็สูสีจึงเป็นอุปสรรคในการผ่านร่างกฎหมายสำคัญของทั้งสองพรรค แม้พรรครีพับลิกันจะสามารถผลักดันกฎหมายผ่านสภาคองเกรสได้สำเร็จ แต่ในท้ายที่สุดด้วยกลไกทางการเมืองสหรัฐฯ เปิดทางให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีสิทธิคว่ำหรือใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) ร่างกฎหมายของอีกฝ่ายได้ และถ้าหากสภายังยืนยันจะผ่านร่างกฏหมายดังกล่าวให้ได้จะต้องมีเสียงสนับสนุนจากทั้งสองสภาถึง 2 ใน 3 ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่น่าจะเป็นไปได้ ขณะที่ในฝั่งเดโมแครตแม้ครองสภาสูงได้สำเร็จแต่ในทางปฏิบัติ ร่างกฎหมายที่นำเสนอต่อสภาคงถูกพรรครีพับลิกันขัดขวางตั้งแต่สภาล่างอยู่ดี
• “การขยายเพดานหนี้” เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองของรีพับลิกัน เป็นโจทย์หินที่รัฐบาลต้องเตรียมแผนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้และป้องกันรัฐบาลปิดตัว (Government shutdown) ด้วยจุดยืนที่ต่างกันมีความเป็นไปได้ที่การเจรจาจะยืดเยื้อเลยกำหนดเวลาการขยายหนี้ ส่งผลต่อการดำเนินงานของภาครัฐที่ต้องหยุดชะงักเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ในรอบนี้คงใช้เวลาไม่นานเพราะทั้งสองฝ่ายคงไม่อยากเสียคะแนนนิยมจากฐานเสียงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ต้องได้รับผลกระทบดังกล่าว ในท้ายที่สุดรัฐบาลคงต้องยอมปรับลดรายจ่ายบางรายการเพื่อให้เพดานหนี้อยู่ในกรอบที่พรรครีพับลิกันจำกัดไว้
• คะแนนนิยมจากประชาชนชาวอเมริกันเป็นตัวกำหนดเส้นทางนโยบายในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เร่งผลักดันนโยบายที่จะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2567 โดยรีพับลิกันคงใช้แต้มต่อในสภาล่างเดินหน้าขัดขวางนโยบายของนายโจ ไบเดน บั่นทอนคะแนนนิยมของของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังจะเดินหน้าผลักดันแผนงานประชานิยมในประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเพื่อเพิ่มฐานเสียงในระยะข้างหน้า
• นโยบายด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จะไม่เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะท่าทีที่มีต่อจีนไม่เปลี่ยนไปจากเดิม สำหรับงบประมาณทางการทหารและเงินช่วยเหลือยูเครนแม้พรรครีพับลิกันจะมีแผนปรับลดงบประมาณด้านนี้แต่คงกดดันรัฐบาลเพียงในระดับที่จำเป็น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งคงไม่เปลี่ยนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐฯ คงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ขณะที่ทั้งปีคาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ขยายตัวจากปีก่อนหน้า กดดันการค้าโลกรวมถึงการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ที่คาดว่า เติบโตเชื่องช้าลงเหลือเลขหลักเดียวที่ 1.1% โดยมีมูลค่าส่งออกราว 50,000 ล้านดอลลาร์ฯ
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น