ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมรอบแรกของปีนี้ เฟดคงจะรอติดตามพัฒนาการหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น การผ่านร่างมาตรการปรับลดภาษี ตลอดจน ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าก่อนที่จะมีการประเมินถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป ท่ามกลางโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและทิศทางเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณเพิ่มขึ้น ยังคงเปิดโอกาสให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในการประชุมรอบ มีนาคม 2561 อย่างเร็วที่สุด
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป คงต้องติดตามคาดการณ์มุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดอันใหม่ที่จะมีการเปิดเผยในการประชุมรอบมีนาคม 2561 ซึ่งคงจะสะท้อนมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของปี 2561 มากขึ้น อย่างไรก็ดี เฟดน่าจะยังคงยืนยันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้งในปีนี้ ท่ามกลางพัฒนาการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะมีทิศทางปรับดีขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน
สำหรับผลต่อประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในครั้งนี้ไม่น่าจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่อการดำเนินนโยบายการเงินของไทย ขณะที่ ปัจจัยที่กระทบต่อตลาดการเงินไทยในปัจจุบันมาจากประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินดอลาร์ฯ ยังมีทิศทางอ่อนค่าลงในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี หากเฟดยังคงส่งสัญญาณถึงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้น คงน่าจะช่วยบรรเทาการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ ไปได้บางส่วน ในส่วนของทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยคงทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น